บทที่ 1 ชะตากรรม
เพลิงสีแดงส้มไหวระริกฉาบท้องฟ้า โทนสีแดงชาดตัดกับห้วงนภายามค่ำคืน เสียงร้องไห้ คร่ำครวญ หวาดกลัวราวกับเป็นบทเพลงเร้าให้เปลวไฟโหมกระหน่ำเริงระบำอย่างเริงร่า ผลาญพล่าทำลายทุกอย่างให้ราบสูญ ลุกลามกลืนกินทุกสรรพสิ่งจนหมดสิ้นสมความตั้งใจของมัน
เมื่อไร้ซึ่งลมและเชื้อเพลิง ลีลาอ่อนช้อยของเปลวไฟก็ค่อย ๆลดน้อยถอยลงไป เหลือเพียงธุลีละออง เถ้าสีเทาปนกับหมอกควัน คุกรุ่นลอยตัวคละคลุ้งในอากาศ มองไม่ออกว่าสิ่งที่เหลือเคยเป็นสิ่งใด อะไร หรือใคร รอแค่เพียงไม่นานไฟมรณะก็มอดดับลงหมด ใครบางคนที่มองสถานที่ที่ครั้งหนึ่งเคยเรียกว่าบ้านผ่านม่านน้ำตา ไม่เหลืออะไรเลย
ปณาฬีก้มตัวลงหมอบต่ำใต้ดงเข็มริมหน้าต่าง ทีแรกตั้งใจจะมาขออนุญาตป้าพาน้องไปเที่ยวสวนสัตว์วันพรุ่งนี้ แต่กลับได้ยินถ้อยคำสนทนาอันไม่คาดคิด เหงื่อกาฬพากันไหลทุกรูขุมขนเมื่อถ้อยคำร้ายกาจพรั่งพรูออกมาจากคนที่เธอเรียกว่าป้า
“เราก็ทำให้มันเหมือนอุบัติเหตุสิ เหมือนคราวพ่อกับแม่ของมัน แค่นี้ทรัพย์สมบัติทั้งหมดก็จะตกเป็นของเรา”
“จะดีหรือแม่อุ่น คราวพ่อแม่เขา เราก็ทำไปทีหนึ่งแล้วนะ สงสารเด็กตาดำ ๆมันเถอะ อีกไม่กี่ปีเงินก็ตกเป็นของเราแน่ๆ”
อุ่นเรือนค้อนขวับคนแย้งทันควัน ร่างอวบอ้วนลุกขึ้นจากเก้าอี้เดินตรงไปยังสามี ยกมือขึ้นฟาดลงบนใบหน้าผอมแหลมเสียงดังสนั่น
“ปากดีนักนะ กว่านังน้ำ มันจะบรรลุนิติภาวะก็อีกตั้งสองปี ป่านนั้นคนที่บ่อนมาลากคอแกกับฉัน ฆ่าหมกป่าตายโหงไปเกิดใหม่แล้ว ดีไม่ดี มันมีผัวไป เราก็ชวดสมบัติกันพอดี หรือแกมีทางอื่นฮะ ไอ้แก่”
เสียงขู่ตะคอก พร้อมใบหน้าทะมึงทึงของภรรยา ทำเอาภาสกรที่กลัวภรรยาที่มีรูปร่างสูงใหญ่อวบอ้วนกว่าตนเป็นเท่าตัวถึงกับรีบย่นคอ หดตัวซุกเก้าอี้ตามเดิม ใจจริงมิเคยคิดร้ายทำลายใครถึงชีวิต แต่ด้วยต้องจำยอมเออออไปด้วยสภาพน้ำท่วมปาก
“ฉันก็แค่สงสารเด็กมัน โดยเฉพาะหนูมะลิ พึ่งจะสามขวบเอง กำลังน่ารักจ้ำม่ำ ช่างเจรจา แม่อุ่นทำลงเหรอ”
“หนอย ยังจะมาเถียง ทำไมกูจะทำไม่ลง มันไม่ใช่หลานแท้ ๆของกูซะหน่อย มึงก็รู้ แม่มันไม่ใช่น้องสาวแท้ ๆ ของกู อีเด็กสองคนนั่นจะเป็นจะตายก็เรื่องของมัน ยิ่งฟังมึงพูดอย่างนี้กูยิ่งหมั่นไส้ มึงอย่านึกว่ากูไม่รู้นะว่ามึงแอบรักแม่มันมานานแล้ว แต่อีลดามันไม่เอามึง หนอยทำมาเป็นรักลูกคนเคยแอบรัก รักมันมากนัก ได้ กูจะไว้ชีวิตมัน กูจะพาอีน้ำไปขายซ่อง ส่วนอีมะลิกูจะเลี้ยงเอาไว้ใช้งาน พอมันโตเป็นสาวกูจะส่งไปอยู่ซ่องเดียวกับพี่มัน ถ้าพี่มันรอดตายจากโรคเอดส์นะ”
เมื่อเห็นว่าไม่มีทางโน้มน้าวใจภรรยาได้ ภาสกรจึงเลี่ยงถามคำถามอื่นเพื่อไม่ให้ตัวเองเจ็บตัว
“แล้วแม่อุ่นจะลงมือเมื่อไหร่ล่ะ?”
“พรุ่งนี้”
“หา! ทำไมเร็วอย่างนั้นล่ะแม่อุ่น?”
“ไอ้ผัวโง่เอ้ย ขืนทิ้งไว้นาน นังน้ำมันไปขอความช่วยเหลือจากคนอื่นเราก็ซวยน่ะสิ เท่าที่ฉันเอาเงินอุดปากไอ้ทนายหน้าเลือดเอาไว้มันก็แค่ถ่วงเวลาไว้ได้ระยะหนึ่งเท่านั้นแหละ ตอนนี้เราต้องรีบชิงลงมือ เร็วเท่าไหร่ยิ่งดี ฉันใจร้อนอยากได้เงินไปใช้หนี้กับไปแก้มือเร็ว ๆ”
ถ้อยคำราวกับสำรากจากคนที่ต่อหน้าทำเป็นพูดดี แต่ลับหลังมุ่งร้ายถึงชีวิต ทำให้เด็กสาวอ่อนต่อโลกหวาดกลัว ไม่อยู่รอฟังจนจบ รีบวิ่งกลับไปที่เรือนไม้สองชั้น อันเป็นบ้านของเธอทันที
เมื่อกลับมายังเรือน ทั้งหลังเป็นไม้สักทองเพราะความชื่นชอบส่วนตัวของบิดา หญิงสาวรีบเก็บเสื้อผ้าทั้งของตนรวมทั้งของน้องสาวด้วยน้ำตาอาบแก้ม หนทางชีวิตข้างหน้าช่างดูมืดมน จะไปอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้ รู้แต่ว่าต้องไปเพราะภัยกำลังใกล้มาถึงตัว แม้แต่ทนายสมหวัง ที่เคยคิดว่าเป็นคนดีก็กลับไม่ใช่ วงศาคณาญาติก็ไม่มีเหมือนคนอื่นเขา หนำซ้ำ บ่าวทาสบริวารที่จะหันไปพึ่งก็ไม่มีเหลือ เมื่อถูกป้าไล่ออกตั้งแต่บิดามารดาเสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางรถยนต์เมื่อต้นปี เงินรวมทั้งบริษัทของบิดา เธอคงไม่สามารถรักษาเอาไว้ได้ แต่ยังมีทรัพย์สมบัติบางส่วนของมารดาที่เคยบอกที่ซ่อนเอาไว้
ปณาฬีฉวยเอาถุงสร้อยทอง เครื่องเพชรต่าง ๆที่มารดาเคยสะสมไว้เมื่อครั้งยังมีชีวิต ห่อใส่ถุงผ้าเก่า ๆยัดลงไปในกล่องเหล็กที่ถูกเทขนมภายในทิ้งจดหมด จนปัญญาที่จะคว้าเอาไปด้วยได้เพราะคงไม่พ้นนำภัยปล้นชิงมายังตัวเองและน้อง บรรจุห่อหีบเรียบร้อยก็แฝงความมืดแอบลอบลงเรือนอีกครั้งเพื่อซ่อนกล่องสมบัติในที่มิดชิด
ใครบางคนที่หลบซ่อนอยู่ในเงามืด ยกมุมปากขึ้นยิ้มเมื่อเห็นหญิงสาวที่เฝ้าติดตามมาร่วมปี แบกน้องสาวใส่หลังพร้อมกับยกกระเป๋าเสื้อผ้าไปด้วยอย่างทุลักทุเลออกจากบ้านในเวลาตีสอง ด้วยความดีใจที่งานได้ลุล่วงไปอีกขั้นหนึ่ง จึงรีบต่อสายโทรศัพท์ไปหาคนที่จ้างวานทันที
“นายครับ เด็กที่นายให้ผมเฝ้าไว้ หนีออกจากบ้านตามแผนเราแล้วครับ”
เสียงปลายสายหัวเราะอย่างพึงพอใจ ก่อนจะสั่งให้อีกฝ่ายดำเนินตามแผนต่อทันที