บทนำ
หลังจากสูญเสียภรรยาไป มู่หยางซัวก็พาบุตรสาวเพียงคนเดียวที่ภรรยาทิ้งไว้เป็นดั่งสมบัติล้ำค่าออกเดินทางรอนแรมเร่รอนไร้จุดหมาย เพียงเพื่อใช้วิชาแพทย์ของตนรักษาผู้อื่น
มู่ฟางเหนียงไม่เคยนึกน้อยเนื้อต่ำใจในโชคชะตาของตนเอง กลับเรียนรู้วิชาแพทย์จากบิดาและช่วยเหลือเป็นดั่งมือขวา ไม่เพียงแค่เรื่องการรักษา นางยังต้องทำหน้าที่ของลูกสาวที่ต้องดูแลปรนนิบัติบิดาด้วย จนกระทั่งสองปีก่อนบิดาได้ข่าวว่าทางชายแดนมีสงคราม ชาวบ้านเดือดร้อนหนักหนา มู่ฟางเหนียงติดตามบิดามาโดยไม่คัดค้าน เมื่อมาถึงนางกับบิดาก็โชคดีได้รู้จักกับเศรษฐีใจบุญ เมื่อรู้เจตนาของบิดาจึงให้เรือนไม้หลังเก่าเป็นที่พักอาศัยและเป็นโรงหมอสำหรับรักษาคนเจ็บคนป่วย แต่เนื่องจากสองพ่อลูกก็ไม่ได้ทรัพย์สินอะไรติดตัวมากนัก ก็ได้ท่านเศรษฐีช่วยดูแลแบ่งปันอาหารมาให้
ชาวบ้านยากจนซ้ำอยู่ในสภาวะสงคราม ยาจึงเป็นสิ่งสูงค่า นางตัดสินใจเข้าไปไปหาสมุนไพรเพื่อให้บิดาได้ใช้เป็นยารักษาคนเจ็บ ทว่า...นางกลับหลงป่าอยู่สามวัน ในขณะที่นางสิ้นหวังอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน นางก็พบหญิงสาวท่าทางโผงผาง แต่ใบหน้ากลับมีรอยยิ้มสดใส
“เจ้ามาทำอะไรที่นี่”
“ข้า...ข้า ข้าหลงทาง” นางร้องไห้สะอึกสะอื้น ดีใจที่ได้เจอคนเสียที
“ไม่ต้องกลัว ข้าจะไปส่งแล้วกัน บ้านเจ้าอยู่ไหนล่ะ”
“บ้านข้าเป็นโรงหมอ บ้านหมอมู่หยางซัว”
“ข้าเคยได้ยินชื่อ...มาเถอะเดี๋ยวค่ำมืดแล้วจะเดินทางลำบาก” นางยื่นมือมาตรงหน้าให้จับพยุงตัว แต่มู่ฟางเหนียงหมดแรงจนลุกไม่ขึ้น
“เอาล่ะ งั้นเจ้าขึ้นหลังข้า ข้าแบกลงเขาเอง”
“แต่ว่า...”
“ไม่ต้องแต่อะไรแล้ว ข้าไม่อยากกลับจวนแม่ทัพจ้าวค่ำนัก ข้าต้องไปดูแลม้าของท่านแม่ทัพอีก”
“เจ้าค่ะ” นางยอมทำตามที่สั่งอย่างว่าง่าย หญิงสาวแบกนางขึ้นหลังเดินหลังเขาท่าทางสบายๆไม่หนักอะไรเลย
“ข้าขอทราบชื่อผู้มีพระคุณได้หรือไม่”
“เรียกข้าว่าเคอหลิ่งหลินเถอะนะ” นางหัวเราะเสียงดัง “ดูท่าทางเจ้าอายุน้อยกว่าข้าปีนี้อายุเท่าไหร่แล้วละ”
“สิบสี่เจ้าคะ”
“ยังเด็กอยู่เลยนี่ เจ้าขึ้นเขามาทำอะไรคนเดียวล่ะ”
“ข้ามาหาสมุนไพรไปให้ท่านพ่อ” พูดแล้วนางก็ทำท่าจะร้องไห้อีก ไม่เคยจากบิดานานขนาดนี้มาก่อน
“อย่าร้องซิ เดี๋ยวเสื้อข้าก็เปียกหมดหรอก” นางหัวเราะไม่ได้จะดุหรือตำหนิ
“เจ้าค่ะ ท่านผู้มีพระคุณ”
“ไม่เอาๆ เรียกข้าว่าพี่สาวเถอะ ข้ามีน้องชายแล้วตอนนี้อยากมีน้องสาวบ้าง”
“เอ่อ...” นางอึกอัก เพิ่งเจอกันครู่เดียวจะให้เรียกสนิทสนมอย่างนั้นเลยหรือ
“พี่สาว ลองเรียกซิ”
“พี่สาว”
“ดีมาก หากใครรักแกเจ้าก็บอกข้า ข้าจะปกป้องเจ้าเอง คราวหน้าถ้าเจ้าจะขึ้นเขาอีก ข้าจะมาเป็นเพื่อน”
“ได้รึเจ้าคะ”
“ได้ซิ ข้าเป็นพี่ย่อมมีหน้าที่ดูแลน้อง”
เดินทางเร่รอนกับบิดามาหลายปี เพิ่งเคยมี ‘พี่สาว’ ก็ครั้งนี้เอง จากที่ร้องไห้เพราะความหวาดกลัว ตอนนี้นางกลับหลั่งน้ำตาด้วยความดีใจ มู่ฟางเหนียงเอนหน้าซบกับบ่าของหญิงสาวด้วยความอ่อนเพลียเผลอหลับไปตอนไหนไม่รู้จนกระทั่งรู้สึกว่าคนที่แบกนางอยู่หยุดเดินและมีเสียงพูดคุย
“บ้านท่านหมอมู่ใช่หรือไม่”
“ฟางเหนียง!ฟางเหนียง!”
“ท่านพ่อ”
ลูกสาวที่หลับอยู่ลืมตาขึ้นแล้วส่งเสียงเรียกขานทำให้เขารู้ว่านี่ไม่ใช่ฝันไป หญิงสาวย่อตัวลงให้ฟางเหนียงลงจากหลัง เขารีบเข้าไปประคองลูกสาวที่เนื้อตัวมอมแมม
“เจ้าไปอยู่ที่ไหนมา พ่อนึกว่าจะเสียเจ้าไปแล้ว”
“ข้า...ข้า..”
“นางหลงป่า” เป็นเคอหลิ่งหลินที่เอ่ยตอบแทนคนที่อ้ำอึ้งอยู่
“หลงป่า? เจ้าเข้าไปทำอะไรในป่า”
“ข้า...ข้า...”
“นางไปหาสมุนไพร ท่านลุงอย่าได้ดุนางเลย นางอยากช่วยแบ่งเบาภาระให้ท่าน” เป็นเคอหลิ่งหลินอีกนั้นแหละที่เอ่ยตอบเด็กสาวที่เวลานั้นอายุสิบสี่ปี
“ฟางเหนียง ถ้าเจ้าเป็นอะไรไปพ่อจะมีเอาหน้าที่ไหนไปพบแม่ของเจ้าที่ปรโลก”
“ท่านพ่อ ฟางเหนียงผิดไปแล้ว” นางสำนึกผิด “แต่ข้าโชคดีที่ได้พี่หลิ่งหลินมาช่วยไว้”
“ฮืม...คนเราพบกันเพราะมีวาสนา” เคอหลิ่งหลินยืดอกด้วยท่าทางภูมิใจ “ข้าแอบไปฝึกเพลงขลุ่ยในป่าถึงได้เจอน้องฟางเหนียง”
“น้องฟางเหนียง?” ท่านหมอมู่เอ่ยทวนสิ่งที่ได้ยิน
“ก็นางอายุน้อยกว่าข้า ข้าก็เลยยินดีที่จะเป็นพี่สาวให้นาง ข้าเคอหลิ่งหลินอยู่ในเมืองนี้แหละ ถ้าน้องฟางเหนียงอยากเข้าป่าไปหาสมุนไพรอีก ข้าจะพาไปเอง ข้าเติบโตในป่าชำนาญเรื่องเส้นทางในหุบเขาดี”
“งั้นครั้งหน้าข้าคงต้องรบกวนพี่หลิ่งหลินอีกนะ”
“ครั้งหน้า! เจ้ายังจะกล้าไปอีกเรอะ! แค่นี้พ่อก็แทบจะสิ้นใจอยู่แล้ว!”
“อย่ากังวลไปเลยท่านลุง ข้าเคอหลิ่งหลินจะดูแลน้องฟางเหนียงเอง” นางพูดด้วยรอยยิ้ม น้ำเสียงเป็นปกติราวกับเคยชินกับเรื่องเช่นนี้ “แต่ข้าว่าตอนนี้ท่านลุงให้น้องฟางเหนียงได้พักผ่อนก่อนจะดีกว่า ส่วนข้าก็ต้องกลับบ้านแล้วเช่นกัน”
“บ้านเจ้าอยู่ที่ใดรึ”
“บิดามารดาของข้าตายจากไปหลายปี ตอนนี้ข้าอาศัยอยู่จวนแม่ทัพจ้าว”
นับตั้งแต่วันนั้น ชีวิตที่เรียบง่ายของมู่ฟางเหนียงก็มีเคอหลิ่งหลินเข้ามาเป็น ‘พี่สาว’ ตลอดเวลาที่ผ่านมาจนถึงวันนี้ก็ล่วงผ่านมาสองปี ปีที่นางอายุสิบหกพอดี.