ฝากผลงานแนวทะเลทรายด้วยนะคะ
เป็นเรื่องแรกที่เขียนเลยค่ะ หากผิดพลาดประการใด ขออภัยด้วยนะคะ
ตัวอย่างบางส่วน
กลางดึกที่เงียบสงัดและมีเพียงเสียงลมพัดหวือปะทะร่างกาย ร่างอรชรยกมือขยับผ้าฮิญาบแล้วเร่งฝีเท้าออกไปให้ห่างจากกองคาราวานให้ได้มากที่สุด แม้อากาศจะเหน็บหนาวจนสองเท้าแทบจะก้าวไม่ออก
“หากต้องลำบากขนาดนี้ ข้าขโมยม้ามาสักตัวก็ยังดี” หญิงสาวบ่นพึมพำและย่ำเท้าไปบนผืนทรายที่อากาศช่างแตกต่างจากตอนกลางวันราวฟ้ากับเหว เพราะตอนนี้เธอหนาวจนสั่นไปทั้งตัว แม้แต่เสื้อผ้าที่ใช้คลุมร่างกายจะให้ความอบอุ่นอยู่มาก แต่ก็ไม่อาจต้านทานอากาศหนาวเหน็บที่พัดผ่านเข้ามา
“ข้าต้องไม่ตาย ข้าต้องไม่หนาวตายกลางทะเลทราย ข้าต้องไปให้ถึงบาลายูดาให้ได้ ข้าต้องไป” เสียงเริ่มระโหยโรยแรงลงไปทุกที เมื่อมองย้อนไปในทิศทางเดิมหญิงสาวก็ไม่เห็นกลุ่มกองคาราวานนั้นอีกแล้ว แต่เบื้องหน้าของเธอคือผืนทรายที่เต็มไปด้วยเนินทรายและอันตรายที่อาจเกิดขึ้นได้ทุกเวลา มือเล็กค่อยๆ ควานหากริชประจำตัวที่บิดามอบให้ แล้วกำไว้ในมือแน่น ลมหายใจหอบกระชั้น คล้ายจะหมดแรง สองเท้าเล็กๆ ก็ย่ำลงบนผืนทรายช้าลงทุกทีๆ
“มูนาเจ้าอย่าเพิ่งมาตายตอนนี้นะ เจ้าต้องอดทน...เจ้าต้องอดทน” พร่ำบอกตัวเองแล้วกอดห่อผ้าที่บรรจุอาหารแห้งและเสื้อผ้าเอาไว้แน่น กัดฟันย่ำเท้าลงไปตามผืนทราย ที่หนทางอีกยาวไกลนักกว่าเธอจะเดินทางไปถึงบาลายูดา วินาทีนี้หญิงสาวหูอื้อตาลายไปหมดจนไม่ได้ยินเสียงเคลื่อนไหวจากด้านหลัง จวบจนกระทั่งเสียงร้องของอาชาคู่ใจจอมโจรเหยี่ยวดำแห่งบาลายูดาร้องฟืดฟาดๆ ให้ได้ยิน มูนาจึงผงะตกใจ ก่อนจะออกแรงวิ่งหนีไป
“ตามไป!” สิ้นคำสั่งของฟารีฟ ม้าคู่กายของราฮิมและคอลิดก็ควบตามร่างอรชรไป ไม่นานก็ถึงตัวหญิงสาว โดยมีมีม้าของฟารีฟวิ่งตามมา
“พวกท่านมาขวางทางข้าทำไมกัน” มูนาพยายามดัดเสียงให้เป็นชาย แล้วเอ่ยถามออกไปด้วยใจหวาดหวั่น เพราะไม่คาดคิดว่าดึกดื่นขนาดนี้แล้วยังจะมีคนออกมาขี่ม้าเล่นกันอยู่อีก
“ข้าสิต้องถามเจ้า ว่าเจ้าเป็นใคร มาจากที่ไหน แล้วเหตุใดเจ้าถึงได้ออกมาเดินอยู่กลางทะเลทรายคนเดียวเช่นนี้ แล้วเจ้าเป็นหญิงหรือชายกันแน่” คอลิดเอ่ยถามแทนนายเหนือหัว
“มันเรื่องส่วนตัวของข้า ทำไมข้าต้องบอกพวกท่านด้วย”
“เจ้านี่ช่างยอกย้อนเก่งเหลือเกิน แล้วคงไม่เคยเกรงกลัวใครมาก่อนเลยสิ ถึงได้กล้าปากดีต่อข้าที่มากันตั้งสามคน ส่วนเจ้าตัวคนเดียว แล้วเจ้าไม่รู้หรือว่าการเดินอยู่ท่ามกลางทะเลทรายในยามค่ำคืนเช่นนี้อันตรายสักแค่ไหน” คอลิดบอกเสียงดุ ริมฝีปากกระตุกยิ้มหยันให้กับความหาญกล้าของคนที่เอาแต่ก้มหน้าหนี แต่คิดหรือว่าจะรอดพ้นสายตาของเหยี่ยวดำแห่งบาลายูดาไปได้ เห็นนิ่งๆ เงียบๆ เช่นนั้น ในใจกำลังคิดอยู่เป็นแน่
“จะอันตรายหรือไม่ นั่นมันเรื่องของข้า พวกท่านโปรดหลีกทางให้ข้าด้วย ข้ารีบ” มูนาจำใจเงยหน้าขึ้นบอก แต่เบนสายตาไปยังอีกสองหนุ่มที่นั่งอยู่บนหลังม้าด้วยท่าทางนิ่งสงบ คนหนึ่งแววตาดูไร้พิษสง ซ้ำยังดูจะมีจิตใจเมตตาอารีมากกว่าสองหนุ่ม ส่วนอีกคนแววตาดุดันน่ากลัวไม่ต่างจากเสือร้ายที่พร้อมตะครุบเหยื่อ จนทำให้คนมองรู้สึกหนาวเยือกเข้าไปในอก มือเล็กกำกริชที่บิดามอบให้ไว้แน่นจนมือชื้นเหงื่อ แต่ก็พร้อมจะเอาออกมาป้องกันตัวหากเกิดภัย
“เจ้านี่ช่างกล้าหาญนัก คิดว่าตัวเล็กๆ อย่างเจ้าจะไปสู้ใครได้”
“นั่นก็เรื่องของข้าอีกเช่นกัน ข้าขอตัว” มูนาเบี่ยงตัวเดินออกไป แต่ม้าของฟารีฟมาขวางทางเอาไว้ ทำเอาหญิงสาวถึงกับผงะหน้าซีดเผือด ก่อนจะเงยหน้ามองเจ้าของม้าเจ้าปัญหาที่ทำให้เธอตกจนใจขวัญแทบกระเจิง
“เจ้ายังไปไหนไม่ได้ทั้งนั้น” เสียงห้าวห้วนดังขึ้น ทำให้คนขวัญกระเจิงแทบจะหยุดหายใจ เพราะไม่ใช่แค่สายตาของเขาเท่านั้นที่น่ากลัว หากแต่น้ำเสียงที่ก้องกังวานในยามที่ดึกสงัดเช่นนี้ก็น่ากลัวใช่ย่อย มูนากอดห่อผ้าไว้แนบอก อีกมือก็ซุกอยู่ที่กริชเตรียมดึงออกมาจากฝักเพื่อใช้ป้องกันตัว
“ทะ...ทำไม...ทำไมข้าถึงยังไปไหนไม่ได้ ในเมื่อข้าไม่ได้ทำอะไรผิด” มูนาย้อนถามเสียงตะกุกตะกัก สองเท้าเล็กค่อยๆ ก้าวถอยหลังอย่างเชื่องช้า เพื่อรอโอกาสวิ่งหนีไป
“เพราะเจ้ากำลังเดินไปในเส้นทางของข้า”
“เส้นทางของท่าน?”
“ใช่! เส้นทางของข้า แล้วเจ้าก็ไม่มีสิทธิ์เดินไปในเส้นทางของข้า” ฟารีฟกระตุกยิ้มชอบใจกับแววตาข้องใจของคนที่พยายามดัดเสียงให้เป็นชายชาตรี แต่ก็เอาเถอะ เขาจะรอให้เธอเล่นละครให้สนุกไปก่อน
“ข้าไม่เชื่อ เพราะผืนทรายของประเทศอัสคาซานก็เป็นขององค์ฟาตินเท่านั้น แล้วข้าก็เป็นประชาชนขององค์ฟาตินคนหนึ่ง เพราะฉะนั้นข้าก็ย่อมมีสิทธิ์เดินไปทางไหนก็ได้ตามแต่ใจของข้า ท่านไม่มีสิทธิ์มาห้ามข้าเข้าใจหรือไม่” มูนาตะเบ็งเสียงตอบกลับด้วยความขึงโกรธ