บทนำ
“ท่านเป็นใคร?!”
เสียงหนึ่งดังขึ้น แม้แผ่วเบาจนเคียงกระซิบหากก็มากพอจะสะกิดความสนใจจากเฟยหรง แน่นอนว่าย่อมเป็นผู้ใดไปมิได้นอกเสียจากสาวน้อยลึกลับที่เขาพบในสภาพไร้สติข้างลำธาร ณ ป่าเฮยเซ่อเมื่อสามวันที่แล้ว
ชายหนุ่มละสายตาจากการตระเตรียมบางสิ่ง ไปจรดลงกับเจ้าของดวงตากลมโตซึ่งกำลังทอประกายหวาดหวั่นแจ่มชัด ร่างผอมบางห่อหุ้มด้วยอาภรณ์สีดำอยู่ในท่วงท่ากึ่งนั่งกึ่งนอนบนตั่ง ผิวสีน้ำผึ้งซึ่งก่อนนี้ซีดเหมือนศพเริ่มฝาดเลือดขึ้นมาบ้าง บาดแผลตามเนื้อตัวฉกรรจ์หลายแห่ง ยามนี้ก็ไม่เลวร้ายเท่าใดนัก นางกวาดสายตาไปโดยรอบคล้ายพยายามสำรวจโดยเร็ว
เฟยหรงขยับยิ้มบางเบาแม้นนัยน์ตาคู่คมจะสงบดั่งผิวทะเลสาบไร้คลื่น เขาประคองถ้วยชาดอกไม้ที่เตรียมไว้อย่างระมัดระวัง ผละจากโต๊ะท้ายห้อง ย่างเยื้องแช่มช้าเข้าหาอีกฝ่าย
หญิงสาวพลันถดหนีด้วยสัญชาตญาณ ร่นถอยจนแทบกลืนเป็นเนื้อเดียวกับผนังเบื้องหลัง “จะ…จะทำอะไร?!” แล้วต้องหอบหายใจแรงขึ้นเมื่อทำอะไรไม่ได้มากไปกว่านั้นด้วยเรี่ยวแรงถูกพรากหลายส่วน
แน่นอนว่าเขารับรู้ถึงความหวาดกลัวของนาง จึงขยับตัวเชื่องช้าระแวดระวังกว่าเก่า จัดแจงวางถ้วยชาลงบนโต๊ะข้างตั่งนอนของคนเพิ่งฟื้น ถดกายถอยหลังตามลำดับ จงใจแสดงออกเจนชัดว่าจะไม่รุกล้ำไปมากกว่าที่เป็น
“นามข้าคือเฟยหรง ดีใจที่เจ้าฟื้นเสียทีนะแม่นาง” เจ้าของเรือนร่างสูงใหญ่เอ่ยแนะนำตัวด้วยน้ำเสียงทุ้มนุ่ม ตวัดชุดคลุมภายนอกให้พ้นทางแล้วนั่งลงบนเก้าอี้ซึ่งอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากเตียง
นางไม่ได้เอ่ยคำ เพียงมองตอบด้วยแววตาดั่งลูกกวางหลงมารดา เต็มไปด้วยความหวาดระแวง สีหน้าประจักษ์ว่าอ่อนระโหย ยังคงหายใจถี่เร็วด้วยตกตื่น
“อย่าได้ตกใจไปเลย ค่อย ๆ หายใจเถิด ช้า ๆ ลึก ๆ ที่นี่เป็นสถานที่ที่ปลอดภัย เจ้ามิได้ตกอยู่ในอันตรายใด หาได้มีเหตุให้ต้องกังวลไม่”
เสียงลื่นหูของเขาชวนให้ผู้ฟังรู้สึกอยากวางใจอย่างบอกไม่ถูก ทว่าสัญชาตญาณเอาตัวรอดภายในกลับกรีดร้องโต้เถียงสุดกำลัง วุ่นวายในสำนึกหนักหน่วงเกินสงบ หญิงสาวกุมขมับ “ข้า…”
ปวดหัว รู้สึกปวดหัวเหลือเกิน ที่นี่ที่ไหน เขาเป็นใคร เกิดอะไรขึ้น จำไม่ได้สักอย่าง
“เจ้าเป็นกระไรหรือไม่?”
นัยน์ตาคู่นั้นปรือลง นางพึมพำตอบแผ่วเบา “ปวดหัว”
เฟยหรงพยักหน้ารับ “ในถ้วย เป็นชาดอกไม้ มีสรรพคุณช่วยผ่อนคลายทุเลาความเจ็บปวด ลองดื่มเสียหน่อย อาจพอช่วยได้บ้าง”
นางเบือนศีรษะไปตามทิศที่ถ้วยชาถูกวางเอาไว้ หันกลับมามองเขาด้วยใบหน้าที่บิดเบี้ยวคล้ายกำลังต่อสู้กับความเจ็บปวดบางอย่าง สักพักก็หายใจช้าลง ไม่นานก็สงบนิ่งในที่สุด
“เป็นอย่างไรบ้าง?”
“ข้า…ข้าไม่รู้ ที่นี่…ที่ไหน?”
“บ้านข้าเอง”
“บ้านท่าน…” นางกวาดมองโดยรอบก่อนจะสบตาเขาอีกครั้ง “ข้า…ข้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร?”
“ข้าพบเจ้าหมดสติอยู่ริมลำธารในป่าเฮยเซ่อเมื่อสามวันที่ผ่านมา ไม่อาจทิ้งเจ้าไว้ในสภาพเช่นนั้น จึงถือวิสาสะพาเจ้ามาดูแลที่นี่ ต้องขออภัยแม่นาง”
หมดสติ…ริมธาร…สามวันที่แล้ว…
“ข้า…ข้าไม่เข้าใจ”
“ไม่เข้าใจงั้นหรือ?”
“ทำไม…เหตุใด…ข้า…ข้าจำ…จำอะไรไม่ได้เลย”
เขานิ่งเงียบชั่วครู่ ทว่าสายตาอันส่อถึงอารมณ์หวนตื่นตระหนกของคนบนตั่งกระตุ้นให้ตัดสินใจขยับยิ้มบาง ๆ หมายปลอบประโลม “อาจเป็นเพราะเจ้าเพิ่งฟื้นจากการหลับใหลเป็นเวลานานกระมัง บาดแผลบนหน้าผากเจ้าก็ถือว่าลึกพอสมควร”
“แผล…แผลงั้นหรือ…” หญิงสาวพลันเข้าใจถึงความปวดหัวรุนแรงขึ้นมาทันที ยกมือคลำจนเจอแล้วต้องนิ่วหน้าอีกคราจากความรู้สึกชอกช้ำ “แต่ว่า…ข้า…ข้านึกไม่ออก…ข้าจำไม่ได้”
จำไม่ได้ว่าเกิดอะไรขึ้น จำไม่ได้ว่าได้แผลมาได้เยี่ยงไร จำไม่ได้เลย
“ไม่เป็นไร ให้เวลาตัวเองเถิด ไม่ต้องเร่งนัก”
“ไม่ ข้าไม่เข้าใจ ทำไมข้าถึงจำอะไรไม่ได้เลย ทำไม ทำไมถึง…”
“แม่นาง”
อีกฝ่ายคล้ายไม่ได้ยินคำเขา นางหอบหายใจแรง โอบแขนทั้งสองข้างรอบตัวเองแน่น นัยน์ตากลอกไปมา ใบหน้าทออารมณ์ตกตื่นอย่างเห็นได้ชัด “ทำไม…”
“แม่นาง ค่อย ๆ หายใจเถิด หายใจช้า ๆ เจ้าจะไม่ได้คำตอบผ่านการกระวนกระวาย ค่อย ๆ หายใจนะ”
เสียงของเขา วิธีการพูด ไม่แน่ใจนักว่าด้วยเหตุอันใด กระนั้นนางกลับรู้สึกใคร่ทำตามเหลือเกินในเวลานี้
“ค่อย ๆ หายใจ ไม่ต้องกลัว ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ข้าจะช่วยเจ้าหาคำตอบเอง ตกลงหรือไม่?”
อาการทุรนทุรายสติสั่นคลอนก่อนหน้าค่อย ๆ ทุเลาลง หญิงสาวพยักหน้าช้า ๆ แม้สายตาจะยังทอซึ่งอารมณ์ว้าวุ่น
“เจ้าจำชื่อตัวเองได้หรือไม่?”
นางนิ่งชั่วครู่ กะพริบตาถี่กว่าปกติเล็กน้อย คิ้วขมวดลง “จิว…จิว”
“จิวจิว?”
นางพยักหน้ารับ
“เจ้ายังจำชื่อตัวเองได้ เห็นหรือไม่ นับว่าเป็นเรื่องที่ดีนัก”
นัยน์ตาคู่โตเริ่มอ่อนแสงลง นางผ่อนจังหวะหายใจได้ดีกว่าเก่า
“มีอื่นใดนอกเหนือจากนี้ที่เจ้าจำได้อีกหรือไม่?”
จิวจิวนิ่งไปครู่ใหญ่ ดวงหน้าปรากฏอารมณ์ไม่พึงปรารถนาอีกครั้ง นางส่ายหน้า
“ไม่เป็นไร เจ้าต้องให้เวลาตัวเองได้พักฟื้น เดี๋ยวข้าจะทำข้าวต้มให้กิน” ว่าแล้วเขาก็ลุกขึ้น “ยามนี้จงพักผ่อนเสีย ไม่ต้องกังวลอันใด”
“ข้าจะไม่กังวลได้อย่างไร…” หญิงสาวพึมพำกับตัว กระนั้นถ้อยคำดังชัดมากพอที่อีกคนจะได้ยิน
เฟยหรงยกมุมปากขึ้น “ความกังวล นำพาประโยชน์อันใดสู่เจ้าหรือไม่เล่า?”
หญิงสาวชะงัก ใช้ความคิดชั่วครู่จึงส่ายหน้าช้า ๆ
“เช่นนั้นก็พักเสียเถิด อาหารเสร็จเมื่อไหร่ ข้าจะมาปลุกเจ้า” จบคำ เขาก็ทิ้งท้ายด้วยรอยยิ้มน่ามองแล้วจึงเคลื่อนตัวจากไปอย่างรวดเร็ว
จิวจิวมองตามจนอีกฝ่ายปิดประตู นั่งนิ่งดังนั้นอยู่อีกพักใหญ่ แล้วจึงหันไปมองถ้วยชาถ้วยนั้น
นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่นะ
ได้แต่ถามตัวเองเช่นนั้น กระนั้นหลังดื่มชาดอกไม้ที่เฟยหรงเตรียมไว้ให้ ไม่นานก็เป็นอันต้องร่วงลงสู่ห้วงนิทราอีกครา