เป็นครั้งแรกที่รุจรู้สึกตื่นเต้นกับการดูแลเด็กเล็ก กว่าจะหมดจานก็ใช้เวลานานเหมือนกัน เมื่ออิ่มแล้วเขาพาไปเดินเล่นเพื่อย่อยอาหารที่สนามหญ้าเขียวขจีแล้วพาไปนั่งเล่นศาลาทรงไทยแปดเหลี่ยมบนหลังคามีเถาไม้เลื้อยกำลังออกดอกบานสะพรั่งส่งกลิ่นหอมอบอวลไปทั่วบริเวณแถวนั้น
“น้องไทม์คุณพ่อไปไหนครับ” เขาชวนคุย นัยน์ตาสีน้ำตาลสบตาใสแจ๋วของหนูน้อยตัวกลม
“ไม่ยู้ หม่ามี้บอกว่าอยู่บนฉวรรค์โน่น” คำตอบซื่อๆ เล่นเอาคุณพ่อตัวจริงขบกรามแน่น เขายังไม่ตายเสียหน่อยแต่แม่ของน้องไทม์แช่งเขาให้ลูกเข้าใจผิด เขากำลังคาดโทษเธอไว้ในใจ
“ถ้าคุณพ่อมาจากท้องฟ้ามาหา น้องไทม์จะดีใจไหมครับ”
“ดีใจจิ แต่ป้ออยู่ไกลมาไม่ได้หยอก” หนูน้อยบอกพร้อมกับส่ายหัวดุกดิก
รุจยิ้มมองแก้มอิ่มแดงเหมือนชมพู่อย่างเจ้าเล่ห์
“เอ่อ...ถ้าลุงจะบอกว่าเป็นพ่อ น้องไทม์จะเชื่อหรือเปล่าครับ”
“ต้องถามหม่ามี้ก่อนคับ”
คุณพ่อตัวจริงถึงกับครางอื้อในลำคอ งานบริหารที่ว่ายากเขายังแก้ไขได้อย่างง่ายดาย ก็แค่ลูกชายไม่กี่ขวบเขาต้องทำได้สิน่า
“หนูอยากได้ไหมครับ” เขาชี้ไปทางจักรยานสีแดงเลือดนกถูกแกะของห่อหุ้มออกหมด อวดโฉมความหล่อเต็มที่
“อยากคับ” สายตาคนอยากได้ยังไม่ยอมถอนออกเจ้าพาหนะที่มีล้อ ยังไม่รู้วิธีเล่นแต่ก็อยากได้
รุจยิ้ม...ความคิดของเด็กไม่ซับซ้อนเท่าผู้ใหญ่
“ถ้าอยากได้จักรยาน ถ้างั้นเรามาทำข้อตกลงกันก่อนดีไหมครับ” เขายื่นข้อเสนอหลอกล่อ
“ว้าว...ให้จิงๆ เหยอคับ” หนูน้อยดีใจเบิกตาโต ของเล่นก็อยากได้ แต่ก็กลัวคุณแม่จะว่า
“จริงสิครับ แต่ต้องเรียก ‘พ่อ’ ก่อนถึงจะได้”
คราวนี้หนูน้อยคิดหนักถึงกับยกมือเกาหัว จำได้ว่าหม่ามี้เคยบอกว่า คุณพ่อจะมาในความฝันแล้วความฝันคืออะไรหนูน้อยไม่เคยรู้จัก
“เรียก ‘พ่อ’ สิครับ” รุจพูดแล้วรอใจจดจ่อ เขาลุ้นคำนี้ยิ่งว่าลุ้นให้กราฟหุ้นขึ้นสูงเสียอีก คำเดียวสั้นๆ หากมีความหมายทางใจตีเป็นมูลค่าไม่ได้