บทนำ
“แหมะ”
น้ำตาเทียนหยดหนึ่งไหลลงมาตามเทียนเล่มแดง หยดลงบนเชิงเทียน เสียงของมันเองแท้จริงช่างเบานัก แต่เมื่อมันดังขึ้นเมื่อยามดึกดื่นเที่ยงคืน เสียงจึงโดดเด่นยิ่งนัก
ในห้องอันกว้างขวางงามหรูนั้น จุดเทียนไว้สิบกว่าเล่ม เทียนเหล่านี้อยู่บนเชิงเทียนที่วางอยู่บนขอบโต๊ะไม้ขนาดใหญ่ ส่องพื้นโต๊ะจนสว่างไสวแยงตา
ตรงหน้าโต๊ะไม้ขนาดใหญ่ มีคนผู้หนึ่งยืนอยู่
อากาศเย็นลงในค่ำคืนฤดูสารท แต่นางกลับสวมเพียงเสื้อชั้นกลางสีขาวตัวบางๆ ผมยาวเกินเอว สยายกับแผ่นหลังโดยไม่รวบไม่ม้วนมวย การแต่งกายที่ดูหละหลวมนั้น เมื่อขับเน้นด้วยท่ายืนเฉิดฉาย สายตาอันแน่วนิ่งของหญิงสาวผู้นี้ กลับทำให้ดูเปล่งไอผยองแรงกล้า
มีกระดาษขนาดสองตารางฟุตปูบนโต๊ะไม้ หญิงสาวถือพู่กันอ่อนนุ่มไว้ในมือ เหมือนกำลังวาดภาพ เธอลงพู่กันอย่างมั่นคง ปลายพู่สะบัด สะบัดพู่กันเพียงไม่กี่ที ก็ปรากฏเค้าโครงใบหน้าคนขึ้นบนกระดาษแล้ว
แต่ละครั้งที่จรดพู่กันลงไป ก็ยิ่งทำให้ลายเส้นบริบูรณ์ รูปภาพดูละเอียดยิ่งขึ้น ใบหน้านั้นก็ค่อยๆดูชัดเจนขึ้นมา
เป็นใบหน้าอันสวยสด ลูกตาสว่างใสชวนมอง ปากแดงแจ๋ฟันขาวผ่อง อวัยวะทั้งห้าบนใบหน้าล้วนดูวิจิตรทุกสัดส่วน โดยเฉพาะไฝสีแดงที่กลางคิ้ว งามดุจชาดแต้ม ทำให้ใบหน้าอันงดงามนี้ยิ่งดูสวยสดขึ้นไปอีก สวยไม่เกรงใจใคร
เมื่อตั้งใจมองดูโดยละเอียด หญิงสาวในรูปภาพ ดูจะมีหน้าตาเหมือนเช่นกับผู้วาดเป๊ะเลย และที่น่าพิศวงก็คือ ใครก็ตามที่เห็นภาพนี้ เพียงปราดเดียว ก็จะรู้สึกได้แล้วว่า ทั้งสองไม่ใช่คนคนเดียวกัน
หญิงสาวในภาพวาดนั้น สองเนตรเย็นเฉียบ สายตาเย็นชา ขนาดเป็นเพียงภาพวาด เพียงสบตา ก็รู้สึกได้ถึงไอสังหารอย่างกราดกร้าวกระโจนออกจากภาพวาด ปะทะเข้าหน้า ทำเอาตัวสั่นได้แม้ไม่หนาว
คนผู้วาดภาพนั้น สายตามั่นคง อากัปกริยาเรียบเฉย มีไอสูงค่าตรงกลางระหว่างคิ้ว
ทั้งสองมีจริตต่างกัน แต่หน้าตากลับละม้ายคล้ายกันนัก
เยี่ยนหนิงสางพู่กันในมือลงเบาๆ จ้องมองคนในภาพวาด ขมวดคิ้วเข้าหากันแน่น
'นาง' เป็นใครกันแน่? คำถามนี้ ก่อกวนเยี่ยนหนิงมาเป็นเวลาสามเดือนเต็ม
สามเดือนก่อน เธอพบหญิงสาวคนหนึ่งที่หน้าร้านค้าที่ใหญ่ที่สุดในเมืองฮ่วนหยาง หญิงสาวผู้นี้สวมชุดดำทั้งชุด สวมหน้ากากเหล็กกล้า ดูลึกลับยิ่งนัก เพราะเหตุนี้นั่นเอง เยี่ยนหนิงจึงได้ใคร่รู้ในตัวนาง เห็นหญิงผู้นี้ออกมาจากร้านค้า ขึ้นรถม้าไปอย่างรวดเร็ว ชั่ววินาทีที่ผ้าม่านปิดลง นางก็พลันยื่นมือมาแก้หน้ากากเหล็กกล้าบนหน้าออก
สองสายตาประสานกันกลางอากาศ เยี่ยนหนิงใจสั่นพรั่นพรึงเพราะหน้าตาอันละม้ายและสายตาอันเย็นเกรี้ยว สมองขาวโพลนโดยพลัน กว่าเธอจะได้สติคืนมา ก็ไม่มีใครเหลืออยู่แล้ว
จากนั้นเยี่ยนหนิงก็เข้าร้านค้าไปตรวจสอบสถานะของหญิงผู้นั้น ว่ากันว่าเป็นหัวหน้าขบวนพ่อค้าที่มาจากเมืองเพ่ยทางพายัพ จะมาขายยากับหนังสัตว์ที่เมืองฮ่วนหยางในช่วงปลายคิมหันต์ฤดูของทุกปี
ตอนที่เยี่ยนหนิงคิดจะนัดพบหญิงลึกลับคนนั้นผ่านทางร้านค้านั้นเอง คนของขบวนพ่อค้านั้นก็หายวับไปจากเมืองฮ่วนหยางเลย
รู้แต่เพียงว่านางมาจากพายัพ นอกนั้นก็ไม่ได้ความอะไรเลย
เยี่ยนหนิงจ้องมองดูใบหน้าในภาพที่ช่างดูละม้ายคล้ายเธอนัก ด้วยอากัปกริยาซับซ้อน
บนโลกนี้ มีคนหน้าตาคล้ายกันมากมาย แต่เยี่ยนหนิงไม่เชื่อหรอกว่า คนสองคนที่ไม่มีความสัมพันธ์กันทางสายเลือดเลย จะมีหน้าตาเหมือนกันได้ขนาดนี้ ดังนั้นแล้ว หญิงคนนี้ ต้องความสัมพันธ์อะไรบางอย่างกับเธอแน่ๆ และเป็นความสัมพันธ์ที่เดาไม่ยาก แม้เธอเองไม่อยากที่จะยอมรับ
อันที่จริงแล้ว เธอไม่ได้ใส่ใจว่าสตรีผู้นั้นจะมีความสัมพันธ์อะไรกับตัวเองหรอก เธอคือเยี่ยนหนิง และจะเป็นเพียงเยี่ยนหนิงเท่านั้น มารดาเธอชื่อ “ชิงเฟิง” อดีตเป็นเช่นนั้น อนาคตก็เช่นกัน ไม่มีทางเป็นใครอื่น
ที่เธอกังวลก็คือ สตรีที่ดูเย็นชาทารุณตั้งแต่ปราดแรกคนนั้น ทำไมจู่ๆถึงปรากฏตัวที่เมืองฮ่วนหยางอย่างกะทันหันได้ล่ะ? การประสบพบเจอช่วงสั้นๆในวันนั้น เป็นความบังเอิญ หรือเป็นความตั้งใจของนาง? นางคิดจะทำอะไรกันแน่?
เยี่ยนหนิงอยากสืบหาสถานะตัวตนของสตรีผู้นั้นให้ได้ และความสัมพันธ์ระหว่างนางกับเธอ นางมาปรากฏตัวต่อหน้าเธอด้วยเป้าหมายอันใด?
อันที่จริงแล้วเรื่องของหญิงสาวคนนี้ การถามมารดาโดยตรงอาจเป็นวิธีที่ง่ายที่สุดที่จะได้มาซึ่งคำตอบ แต่การที่มารดาปกปิดเธอมาถึงสิบแปด ชัดเจนว่าไม่อยากให้เธอรู้ เธอถามโพล่งออกไป มีแต่จะทำให้มารดากังวลใจ ยิ่งกลัวว่าท่าทีของเธอที่ตั้งใจจะตรวจสอบหญิงสาวคนนั้น จะยิ่งทำให้มารดาเธอปวดใจ ดังนั้นแล้ว เรื่องนี้ สืบหาเองดีกว่า
เมื่อสงสัย ก็ต้องหาคำตอบ เมื่อเจอโจทย์ ก็ต้องแก้ให้ตก เธอทำแบบนี้มาโดยตลอดตั้งแต่เล็กจนโต ครั้งนี้ก็เช่นกัน
ปัญหาตอนนี้ก็คือ เธอต้องหาข้ออ้างไปจากเมืองฮ่วนหยาง ผลีผลามทำอะไรไป กลัวว่าบิดาของเธอผู้ซึ่งเป็นเจ้าฟ้าดินจะลากตัวเธอกลับไปก่อนที่เธอจะทันได้ถึงเมืองเพ่ยเสียอีก
เว้นแต่ว่า......
เยี่ยนหนิงเบนแววตา มองดูแผ่นฉงเยว่ที่อยู่บนตู้หนังสือด้านข้าง เอามือถูกระดาษบางๆบนโต๊ะทำงานเบาๆ บังเกิดความคิดขึ้นในใจ
ในห้องหับสตรีที่ตกแต่งอย่างเรียบง่ายแต่กลับประณีตวิจิตรไปทุกจุด หญิงสาวสามคนที่หน้าตาล้วนสะสวย แต่จริตไอคนละแบบมารวมตัวกัน หญิงในเสื้อขาวเป็นเจ้าของห้องนั่นเอง คุณหญิงซู่คนโต บุตรีเพียงหนึ่งเดียวแห่งจวนแม่ทัพ หน้าเธอดุจดอกท้อ ดวงตาเป็นประกาย น่าเสียดายที่บัดนี้กำลังนอนเกียจคร้านอยู่บนเตียงโดยไม่สนใจภาพพจน์เลยสักนิด
หญิงเสื้อเขียวผู้หนึ่งนั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้ริมเตียง เธอมีสีหน้าแน่นิ่ง ท่านั่งผึ่งผาย จริตทระนงใสเหนือคนธรรมดา ทำเอาแทบจะทอดสายตาไปจดจ่อที่ตัวเธอจนมองข้ามหน้าตาอันสวยสดของเธอไปเลย ไม่มีใครจะคาดคิดถึงว่า บุตรีแห่งบ้านอัครเสนาบดีโหลวผู้อ่อนโยน จะมีนิสัยเย็นเฉียบได้ขนาดนี้
หญิงสาวที่ยืนอยู่ริมเตียงกลับแตกต่างไปจากแม่โหลวเฉิน เธอสวมชุดกระโปรงแดง ไฝตรงกลางคิ้วนั้นแดงดุจเพลิง กลางคิ้วสลวยปราดเปรียว รอบกายเปล่งไอสูงศักดิ์ หญิงสาวส่งกล่องยาวในมือมาไว้ตรงหน้าซู่ซู่
ของอะไรกัน? ซู่ซู่รู้สึกใคร่รู้ เปิดกล่องออกดู พบว่าเป็นแผนที่ฉงเยว่ซึ่งทำจากหนังวัว
แผนที่นั้นเป็นของหายากจริง เป็นของล้ำค่าสำหรับบ้านคนทั่วไปเลยล่ะ แต่มันกลับไม่แรงดึงดูดต่อซู่ซู่ผู้เป็นบุตรีคนโตแห่งจวนแม่ทัพเลยสักนิด สกุลซู่น่ะมีแผนที่รูปแบบต่างๆมากมาย ซู่ซู่โยนแผนที่กลับลงกล่องอย่างหมดอารมณ์ ถามว่า “พี่หนิง เจ้าเอาแผนที่มาให้ข้าทำไมกัน?”
หยิบแผนที่ขึ้นมา ปูลงบนโต๊ะ เยี่ยนหนิงทอสายตาไปยังจุดจุดหนึ่งบนแผนที่ สายตาร้อนรุ่มนิดๆ “อุดอู้อยู่แต่ในนครหลวงทั้งวัน พวกเจ้าไม่รู้สึกเบื่อเลยหรือ?”
“ก็เบื่อสิ” มองดูแผนที่ที่คลี่อยู่บนโต๊ะ แล้วก็มองดูเยี่ยนหนิง ซู่ซู่ก็ยอมลุกขึ้นในที่สุด เอามือเท้าคาง พูดยิ้มๆ “พี่หนิงเจ้านึกเรื่องอะไรสนุกๆขึ้นมาได้แล้วใช่ไหม?”
เยี่ยนหนิงเงยหน้าขึ้น พูดยิ้มแบบลึกลับหน่อยๆ “งั้นเรามาเดิมพันกันดีกว่า?”
“เดิมพันยังไงเล่า?”
“ปฐพีกว้างใหญ่ ดูซิว่าใครจะยอดสมบัติได้โดยอาศัยความสามารถตัวเอง กำหนดเวลา1ปี เพลานี้ของปีหน้าเราเอามาเทียบแข่งกันดู”
“1ปี? นี่มันหนีออกจากบ้านชัดๆเลยนี่? แม้ต้องจับข้าถลกหนังแน่ๆ” ปากแม่นางซู่พูดเช่นนี้ สายตากลับฉายประกายสุกใส
“แล้วเจ้าจะเดิมพันไหมเล่า?”
“เดิมพัน” คำเดียว ได้ปลุกนิสัยเสพสมความวุ่นวายแห่งปฐพีของแม่นางซู่ให้ตื่นตัวขึ้นมาเต็มเปี่ยม
เยี่ยนหนิงมองยังโหลวเฉินที่นั่งเงียบๆอยู่อีกฟาก โหลวเฉินนั้นหน้าตายมาแต่ไหนแต่ไร แถมไม่ค่อยพูด แต่ความคิดมักจะเฉียบคมนัก เยี่ยนหนิงดูตื่นเต้นนิดๆอย่างชัดเจน “เจ้าล่ะ?”
โหลวเฉินกวาดตามองดูแผนที่บนโต๊ะ แล้วก็มองดูเยี่ยนหนิงอีกที ถึงเผยอมุมปากขึ้น ตอบว่า “ได้สิ”
สามยาม นครหลวงที่ถูกปกคลุมด้วยนิทรานั้นเงียบสงัดเย็นใส 3เงาร่างวิ่งพล่านมาจนถึงใต้กำแพงเมือง กระโจนตัวขึ้น ย่ำขึ้นถึงหัวกำแพง กระโจนตัวอีกครั้ง ก็ร่อนลงบนพื้นนอกกำแพงอย่างแผ่วเบา กำแพงเมืองสูง3วากว่า สำหรับพวกเธอแล้วมีก็ดุจไร้ เห็นได้ชัดว่าวรยุทธของทั้งสามนั้นไม่ธรรมดาเลย
ทั้งสามวิ่งมาได้10วาก็หยุดฝีเท้าลง
“กำหนด1ปี”
“รักษาตัวด้วย”
พูดอย่างเรียบง่ายเพียงไม่กี่คำ ทั้ง3ก็วิ่งไปทาง3ทิศโดยไม่หันกลับเลยสักนิด
เยี่ยนหนิงหน้าวิ่งมาตลอดทาง ใจนั้นกลับคอยพร่ำขอโทษ เฉิน ซู่ซู่ ขอโทษนะ ข้าจำต้องไปที่นั่น จำใจต้องหลอกพวกเจ้าออกมา เพื่อเบนความสนใจของครอบครัว พวกเขาจะได้ไม่สามารถมาพาข้ากลับไปได้เร็วนัก อภัยข้าด้วย อภัยข้าด้วย
เทียบกับเยี่ยนหนิงที่รีบลนแล้ว แม่นางซู่ดูว่างจัดกว่าเยอะเลย เธอที่หวังอยากทำความรู้จักกับทิวทัศน์สวยงาม ผืนทะเลอันแข็งกล้า ย่อมเลือกทะเลบูรพา พอเธอเที่ยวเล่นจนพอใจแล้วค่อยไปเยี่ยมอาเอ้าที่เกาะรวมวิญญาณ แล้วก็ขอสมบัติมาชิ้นหนึ่ง กำหนดนัด1ปีนี่เผลอๆเธอจะชนะเอาได้ง่ายๆ
โหลวเฉินนั้นแววตาเย็นใส อากัปกริยาเรียบชืด ฝีเท้าแน่วนิ่ง เมื่อหนิงไปทางประจิม งั้น...เธอก็ไปไกลหน่อยละกัน เลี่ยวเยว่เป็นไงเล่า?
3คน 3ความคิด ไม่ว่ายังไงก็ตาม การเดินทางของพวกนางก็ได้เริ่มขึ้นแล้ว