บทนำ
เด็กสาวผู้ถูกทอดทิ้ง
รัชศกเจิ้งเหวินหย่งฮ่องเต้ปีที่ยี่สิบห้า ปลายสารทฤดูอากาศค่อนข้างที่จะเย็นชื้น
เด็กสาวอายุราวสิบสี่สิบห้า ร่างกายผอมแห้ง สวมใส่อาภรณ์เนื้อหยาบขาด ๆ ไม่สมกับว่ากำลังจะเข้าสู่ช่วงเหมันต์ฤดู กำลังนั่งยอง ๆ อยู่ตรงริมสระ ดวงตาคู่กลมไร้เดียงสาดุจกวางจดจ้องเงาสะท้อนของตนบนผิวน้ำนั้นตาไม่กะพริบ มือหนึ่งก็ลองหย่อนลงไปดู เมื่อสัมผัสได้ถึงความเย็นของมันก็จำต้องสะดุ้งรีบชักกลับไม่ทัน ก่อนจะถอนหายใจออกมาด้วยความสิ้นหวัง
อายุอานามก็ล่วงเลยวัยปักปิ่นมาแล้ว แต่กลับยังคงไม่สามารถทนความเย็นของน้ำได้ ...
หลี่เหลียนเซียนอุตส่าห์เกิดเป็นบุตรสาวคนโตของหลินโหว อุตส่าห์เกิดจากครรภ์ของอดีตฮูหยินเอกผู้ล่วงลับ แต่กลับจำต้องทำให้บิดาผิดหวัง เพราะมิได้เกิดมาพร้อมกับพลังปราณธาตุน้ำอันเป็นพลังที่แข็งแกร่งของคนสกุลหลี่ ในยุคนี้นานวันเข้าผู้ที่เกิดมาพร้อมพลังปราณนั้นเหลือน้อยเต็มทน ผู้ใดที่เกิดมาแล้วมีมันจึงนับว่ามีค่ามาก แรกเริ่มเดิมทีตอนเพิ่งคลอดบิดาก็หาได้ไม่สนใจไยดีถึงปานนี้ แต่พออนุภรรยาของบิดาได้คลอดบุตรสาวออกมา บิดาก็ทอดทิ้งนางทันทีโดยไม่สนใจว่านางมีฐานะเป็นผู้ใด
... เพราะน้องสาวของนางเกิดมาพร้อมพลังปราณ เมื่อมีพลังปราณย่อมไม่สนว่าจะเกิดจากครรภ์ของผู้ใด บิดาของนางถึงขั้นหน้ามืดตามัว แต่งตั้งอนุภรรยาที่ฐานะต้อยต่ำเป็นฮูหยินเอกแทนมารดาของนาง พร้อมทั้งขับไล่นางมาอยู่ที่เรือนร้างท้ายจวน กล่าวอ้างกับขุนนางในราชสำนักว่านางนั้นสุขภาพไม่แข็งแรง มิสามารถออกจากจวนได้ ทำให้ไม่ต้องเปิดตัวนางในวงงานเลี้ยงสังคม ไม่ต้องจัดพิธีปักปิ่นให้กับนาง
เป็นบุตรีที่ถูกทอดทิ้งโดยแท้จริง
หลี่เหลียนเซียนถอนลมหายใจออกมาอีกครั้งด้วยความปลงตก ชีวิตนี้คงจะคาดหวังอะไรไม่ได้อยู่แล้ว โชคดีหน่อยก็ตรงที่ฮูหยินเอกนั้นลืมการมีอยู่ของนางไปแล้ว จึงมิได้เร่งร้อนหาสามีชั้นเลวให้กับนางแล้วรีบผลักไสออกจากจวนไปเสีย หลี่เหลียนเซียนจึงตั้งใจว่าจะเก็บเงินให้ได้สักก้อนแล้วค่อยออกไปจากจวนแห่งนี้ เพราะอยู่ไปก็เหมือนไม่อยู่ สู้ออกไปตั้งรากฐานใช้ชีวิตใหม่ สละตำแหน่งคุณหนูใหญ่ที่มีเพียงแค่นามนี้ออกไปยังจะดีซะกว่า
“หลี่เหลียนเซียน!”
พลันเบื้องหลังของนางก็ยินเสียงแหลมของสตรีนางหนึ่งดังขึ้น หลี่เหลียนเซียนกลืนน้ำลายลงคอหนึ่งอึก ก่อนจะลุกขึ้นแล้วหันไปประจันหน้ากับผู้มาเยือนใหม่นั้น อีกฝ่ายอายุน้อยกว่านางราวสองปี สวมใส่อาภรณ์ชั้นดีคลุมทับด้วยเสื้อขนสัตว์ตัวแพง ใบหน้าอวบอิ่มประทินโฉมงดงาม ศีรษะถักเปียแกละเล็ก ๆ สองข้างให้ความรู้สึกน่ารักน่าชัง แต่สายตาที่มองมายังนางผู้เป็นพี่สาวนั้นกลับไม่น่ารักเลยสักนิด ซ้ำยังขุ่นมัวเป็นอย่างมากด้วย เบื้องหลังอีกฝ่ายมีหญิงรับใช้ติดตามหนึ่งคน ในมือของหญิงรับใช้ถือกล่องไม้เก่า ๆ ถูก ๆ ไว้หนึ่งกล่อง หลี่เหลียนเซียนจำต้องขมวดคิ้วด้วยความฉงน ถามไปด้วยความสงสัย
“น้องรองมาหาข้าที่เรือนหรงซานด้วยตนเองเช่นนี้ มีเรื่องอันใดหรือ?”
“ท่านพ่อบอกว่าเจ้าอายุสิบห้าแล้ว” หลี่ม่านม่านกรีดยิ้ม มือทั้งสองก็ยกขึ้นกอดอกพลางชูคอขึ้น “อันที่จริงข้าก็ไม่ได้อยากรู้ แต่ท่านพ่อดันพูดออกมากลางมื้อกลางวันเสียได้ ข้าก็เป็นน้องสาวเจ้า คงจะรู้สึกไม่ดีที่ไม่ร่วมแสดงความยินดีด้วย”
พูดจบหลี่ม่านม่านก็หันไปพยักหน้ากับหญิงรับใช้ด้านหลัง หญิงรับใช้ผู้นั้นจึงเดินก้าวเข้ามาใกล้หลี่เหลียนเซียนมากกว่าเดิมพร้อมกับกล่องไม้ในมือ หลี่เหลียนเซียนสัมผัสได้ถึงความไม่ปลอดภัย จึงได้ค่อย ๆ ก้าวเท้าหนี และนางคงจะไม่ตกลงไปในสระ ถ้าหญิงรับใช้ผู้นั้นไม่เป็นคนผลัก!
ตู้ม!
สิ่งแรกที่หลี่เหลียนเซียนสัมผัสได้คือความหนาวเย็นที่บาดลึกไปทั้งสรรพางค์กาย สิ่งต่อมาคือน้ำจำนวนมากที่ไหลเข้าปอดจนสำลัก นางพยายามตะเกียกตะกายขึ้นมาพร้อมทั้งตะโกนขอความช่วยเหลือ แม้รู้ดีว่าสองคนนั้นไม่มีวันที่จะช่วยนางก็ตามที
“แค่ก! น้องรอง ... ข้าว่ายน้ำไม่เป็น !”
หากแต่คนที่ยืนอยู่ริมสระกลับไม่แม้แต่จะแยแส ทำเพียงแค่ม้วนปลายผมของตนไปมาเล่น ปากก็พูด “ตายจริงพี่หญิงใหญ่ คนตระกูลหลี่น่ะแม้จะว่ายน้ำไม่เป็นแต่ก็ไม่ตายเพราะน้ำอยู่แล้ว เอ ... แต่น้องอย่างข้าก็ลืมไป ว่าท่านน่ะไม่มีสิ่งนั้นนี่นา บางทีนี่อาจจะเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์อันแสนยาวนานของตระกูลหลี่ก็ได้นะเจ้าคะ ว่าคุณหนูใหญ่ตายเพราะจมน้ำ!”
พูดจบหลี่ม่านม่านก็สะบัดชายอาภรณ์หันหลังกลับไปทันที ส่วนหญิงรับใช้ผู้นั้นก็โยนกล่องไม้ในมือลงไปในสระก่อนจะเดินตามนายหญิงของตนกลับไป ภาพแผ่นหลังของทั้งสองคนนั้นที่หลี่เหลียนเซียนเห็นได้สลักฝังแน่นอยู่ในหัว เป็นจังหวะเวลาเดียวกับที่เรี่ยวแรงของนางได้หมดลง
ร่างของนางค่อย ๆ ร่วงหล่นลงสู่ก้นสระ
เป็นดั่งที่หลี่ม่านม่านกล่าว ... คนสกุลหลี่นั้นแม้จะว่ายน้ำไม่เป็นแต่ก็ไม่มีวันตายเพราะน้ำ เพราะพวกเขาสืบทอดเชื้อสายของผู้ใช้ปราณธาตุน้ำอันแข็งแกร่ง ร่างกายของคนสกุลหลี่จึงเป็นหนึ่งเดียวกับผืนแผ่นน้ำ แต่สิ่งนั้นใช้ไม่ได้กับหลี่เหลียนเซียน
... ใช้ไม่ได้กับนาง
กล่องไม้ใบเมื่อครู่ที่ถูกโยนลงมาก็คงเพื่อเป็นหลักฐานว่า นางได้จมน้ำตายเพราะเผลอทำของที่น้องสาวให้ตกลงไปในน้ำแล้วพยายามลงไปเก็บมันขึ้นมาเป็นแน่
นางต้องตายไปทั้งอย่างนี้จริง ๆ หรือ
หลี่เหลียนเซียนหลับตาลงพริ้ม ความทรมานจากผืนน้ำในปลายสารทฤดูนั้นเป็นราวกับถูกมีดพันเล่มเฉือนร่างกายไปพร้อม ๆ กัน
แต่หลังจากนั้นเพียงไม่นาน ... นางกลับไม่รู้สึกเช่นนั้นอีก
รัชศกเจิ้งเหวินหย่งฮ่องเต้ปีที่ยี่สิบเจ็ด เหมันต์ฤดู
ด้านนอกเริ่มมีหิมะหนาโปรยตกปกคลุม รอบเรือนเก่า ๆ ท้ายจวนเยี่ยงเรือนหรงซานแห่งนี้นั้นค่อนข้างที่จะว่างเปล่า ยากนักที่จะมองเห็นต้นไม้สักต้น นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ว่าเมื่อมองออกไปแล้วก็เห็นเพียงแค่ท้องฟ้ากว้างที่ตัดกับริ้วของสระน้ำที่อยู่ไกล ๆ เท่านั้น
หลี่เหลียนเซียนนั่งมองมันอยู่นานเท่าใดไม่ทราบได้ รู้สึกตัวก็ตอนที่ในห้องมีคนอีกคนเดินเข้ามา อีกฝ่ายนั้นอายุราวประมาณสามสิบกว่าปี รูปร่างผอมแห้ง แต่ถึงกระนั้นใบหน้าก็ยังคงเปื้อนยิ้มอยู่เสมอ
“คุณหนู”
และก็เป็นคนผู้เดียวในจวนแห่งนี้ที่เรียกนางว่าคุณหนู
หรงจิน หรือผู้ที่นางเรียกว่าน้าหรงนั้น เดิมคือหญิงรับใช้ผู้ซื่อสัตย์ของมารดานาง นับแต่ที่มารดาได้จากไปก็ได้อีกฝ่ายช่วยประคบประหงมดูแลมาตลอด แม้ระยะเวลาสิบกว่าปีมานี้น้าหรงไม่เคยได้สัมผัสกับคำว่าสบายและกินอิ่มนอนหลับ อีกฝ่ายกลับไม่เคยบ่นเลยแม้แต่ครั้งเดียว ทราบความเคยเล่าว่า เมื่อก่อนน้าหรงเป็นเพียงแค่เด็กกำพร้าเร่ร่อน ก่อนจะได้มารดาของนางช่วยเหลือพาไปอยู่ด้วยกันและมอบชีวิตใหม่ให้ กับความลำบากเพียงนี้จึงเทียบไม่เท่ากับความลำบากที่เคยประสบในอดีตเลยแม้แต่น้อย
ทุกวันนี้หลี่เหลียนเซียนอาศัยอยู่ด้วยกันกับหรงจินสองคนในเรือนเก่า ๆ ที่ชื่อว่าหรงซาน ก็น่าแปลกดีที่เป็นหรงซานที่แปลว่าภูเขาอันเขียวชอุ่ม แต่อาณาบริเวณโดยรอบกลับหาดูต้นไม้ยากยิ่งนัก ลำพังแค่เงินเดือนที่ฮูหยินเอกเจียดมาให้ก็กินไม่พออยู่แล้ว จะให้นางเอาไปซื้อต้นไม้มาปลูกเห็นทีว่าจะไม่เข้าท่า ก็เลยปล่อยให้รอบเรือนมันโล่ง ๆ อยู่อย่างนั้น
“รีบปิดหน้าต่างแล้วมาทานข้าวเถิดเจ้าค่ะคุณหนู ช่วงเหมันต์เช่นนี้อากาศหนาวเย็นนัก เกรงว่าคุณหนูจะป่วยไข้เอาได้” หรงจินกล่าวบอกขึ้นในขณะที่จัดเตรียมอาหารลงบนโต๊ะ หลี่เหลียนเซียนจึงพูดจาสัพยอกขึ้นมา
“น้าหรงลืมไปแล้วหรือเจ้าคะ นับตั้งแต่เมื่อสองปีก่อนข้าก็ไม่เคยป่วยไข้เลยนี่นา”
ได้ยินที่อีกฝ่ายกล่าวหรงจินก็เงยหน้าขึ้นมองในทันที ก่อนจะพบว่าบัดนี้หลี่เหลียนเซียนนั้นกำลังยกยิ้มอยู่ ทว่าในแววตาคู่นั้นกลับไม่หยักยิ้มตามเลยแม้แต่น้อย ครั้งล่าสุดที่หรงจินเคยเห็นแววตาที่แสนใสซื่อบริสุทธิ์ของหลี่เหลียนเซียน ก็เป็นเมื่อสองปีก่อนเช่นกัน
หรงจินเข้าใจไม่ยาก จึงทำเพียงแค่พยักหน้า “แต่ถึงกระนั้นก็ต้องปิดนะเจ้าคะ เพราะน้าทนอากาศหนาวไม่ได้”
“เจ้าค่ะ” หลี่เหลียนเซียนรับคำแล้วลุกขึ้นปิดหน้าต่าง จากนั้นก็ลากเก้าอี้ตัวที่นั่งเมื่อครู่ไปยังโต๊ะสำหรับทานอาหาร หญิงสาวก้มลงมองอาหารที่อยู่บนโต๊ะด้วยแววตาคุ้นชิน ทั้งข้าวต้มเปล่า ๆ ทั้งผักดอง ผักผัด น้ำแกงใส ๆ ไม่แม้แต่จะมีเมนูเนื้อสักอย่าง เป็นมื้ออาหารเดิม ๆ ที่นางทานมาร่วมสิบเจ็ดปีแล้ว
และก็คงต้องถึงคราวที่ต้องเปลี่ยนได้สักทีแล้ว
“หลี่เหลียนเซียน!”
มือไม่ทันจะได้จับตะเกียบหน้าเรือนก็มีเสียงเอะอะดังขึ้นมา เงี่ยหูฟังดูก็คงไม่ต่ำกว่าห้า หรงจินทำทีจะลุกขึ้นออกไปแทนแต่ก็ช้ากว่าหลี่เหลียนเซียน นางรีบก้าวเท้าฉับออกไปอย่างไม่ลังเลหรือหวั่นเกรงว่าอีกฝ่ายจะมาทำอะไร เพราะนับแต่วันที่ได้จมลงไปในก้นบึ้งลึกของสระน้ำ ได้ผ่านความตายมาแล้วหนึ่งรอบ ก็หาได้เกรงกลัวสิ่งใดอีกต่อไป
และหลี่เหลียนเซียนก็แทบจะไม่เชื่อในสิ่งที่ตาเห็น
หน้าเรือนหรงซานบัดนี้มีหลี่ม่านม่านยืนอยู่ เบื้องหลังยังมีหญิงรับใช้ราวประมาณห้าหกคน ในมือแต่ละคนถือหีบเงินแลดูหรูหราเอาไว้ เป็นราวกับภาพทับซ้อนเมื่อสองปีก่อน ยิ่งคิดก็ให้น่าขันดีนัก หากหลี่ม่านม่านมาหานางพร้อมกับของขวัญ แน่นอนว่าย่อมต้องมีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้นเป็นแน่
“น้องรองมีอะไร” นางถาม
“ท่านพ่อบอกให้ข้าเอาของพวกนี้มาส่งให้” หลี่ม่านม่านพูดด้วยน้ำเสียงไม่พึงใจอย่างเห็นได้ชัด “บอกว่าขุนนางในราชสำนักเริ่มถามหาเจ้ากันแล้ว ท่านเลยรับปากไปว่าจะให้เจ้าเปิดตัวในวันพิธีปักปิ่นของข้า!”
หลี่ม่านม่านกล่าวเช่นนี้หลี่เหลียนเซียนก็เข้าใจได้ไม่ยาก แน่ล่ะ หลินโหวบิดาของนางใช้คำว่า ‘ร่างกายอ่อนแอ’ มาเป็นกรงให้นางไม่สามารถออกไปข้างนอกหรือเข้าร่วมงานเลี้ยงสังคมได้ เหล่าขุนนางในราชสำนักก็คงอดไม่ได้ที่จะแปลกใจอยู่แล้ว และหากให้นับ คุณหนูใหญ่จวนหลินโหวอายุอานามก็เลยวัยที่ควรจะออกเรือนมาแล้ว อย่างไรเสียก็ควรให้เปิดตัวในสังคมชนชั้นสูงอยู่บ้าง หลินโหวเองเมื่อถูกกดดันเช่นนั้นก็คงจะปฏิเสธได้ยาก
“อ๋อ ...” หลี่เหลียนเซียนแสร้งลากเสียงยาว มือหนึ่งก็ม้วนพันเส้นผมของตนเล่น “เช่นนั้นก็ฝากน้องรองไปขอบคุณท่านโหวแทนข้าด้วย ไว้เจอกันในงานปักปิ่นก็แล้วกัน”
หลี่ม่านม่านได้ยินเช่นนั้นใบหน้าก็บูดเบี้ยวมากกว่าเดิม รีบสาวเท้าเข้ามาหาพี่สาวต่างมารดาของตนด้วยท่าทางอุกอาจ มือหนึ่งก็คว้าแขนของพี่สาวมาบีบไว้แน่น ดวงตาคู่กลมน่าถนอมนั้นก็ถลึงออกมาคล้ายจะหลุดจากเบ้าก็มิปาน
“หากเจ้าทำอะไรขายหน้าในงานเลี้ยงของข้า เจ้าเจอดีแน่!”
หลี่ม่านม่านข่มขู่พี่สาวของตนด้วยน้ำเสียงเล็ดรอดผ่านไรฟัน หลี่เหลียนเซียนหาได้ผวาหวาดหวั่นกับคำกล่าวนั่นไม่ ทำเพียงแค่ยิ้มบาง ๆ แล้วตอบ
“งานสำคัญของน้องรองทั้งที พี่สาวเช่นข้าจะทำตัวขายหน้าได้อย่างไรกัน”
พูดพลางหลี่เหลียนเซียนก็มองลึกเข้าไปยังแววตาของหลี่ม่านม่านด้วยเช่นกัน ด้วยเพราะอันใดก็ไม่ทราบจู่ ๆ หลี่ม่านม่านก็สะบัดมือออกอย่างรวดเร็ว ไม่นานก็กระทืบเท้าเดินจากไป ทิ้งไว้เพียงแค่หีบเสื้อผ้าเครื่องประดับที่นำมาให้เท่านั้น
“คุณหนูเจ้าคะ ... นี่มัน ...”
หรงจินดูเหมือนจะตามสถานการณ์โดยรอบไม่ค่อยทัน จึงทำได้แค่มองหีบเครื่องประดับที่ถูกวางไว้นอกเรือนราวกับกลั่นแกล้งให้พวกนางยกของหนัก ๆ เข้าไปเอง สลับกับมองรอยนิ้วมือแดงเถือกตรงข้อมือของหลี่เหลียนเซียนที่ถูกกำแน่นเมื่อครู่
“คุณหนูเข้าเรือนไปก่อนเถิดเจ้าค่ะ เดี๋ยวน้ายกหีบพวกนี้เสร็จจะไปทายาให้”
“เหตุใดน้าหรงต้องยกเองให้หนักมือด้วยเล่า” หลี่เหลียนเซียนอมยิ้มเล็กน้อย มือข้างหนึ่งก็กอบกำตรงรอยแดงที่ข้อมืออีกข้างเบา ๆ เกิดแสงสีฟ้าครามขึ้นมาครู่หนึ่ง ไม่นานนักก็หายไปพร้อมกับรอยแดงนั่น
“น้าหรงสิต้องเข้าเรือนไปก่อน เรื่องนี้ข้าจัดการเองเจ้าค่ะ”
พูดจบหญิงสาวก็หันไปมองหีบเงินเหล่านั้น ไม่นานมันก็ถูกโอบอุ้มด้วยเกลียวคลื่นสีครามแล้วค่อย ๆ ลอยเข้าไปในเรือนอย่างแช่มช้า
ดวงตาสีดำสนิทเยี่ยงรัตติกาลของนางเมื่อครู่แปรเปลี่ยนเป็นทอประกายสีน้ำเงินชั่วขณะหนึ่ง