“แฮ่ก แฮ่ก” เสียงหอบดังมาพร้อมหนุ่มน้อยร่างบางที่กำลังวิ่งหนี ดวงตาที่สดใสเหมือนประกายดาวของเขากำลังเต็มไปด้วยความหวาดกลัว
เสือดำ เสือดำ!
เสือดำในทุ่งใหญ่นเรศวรแม้เป็นสัตว์หายาก หลายคนสงสารที่บางครั้งมันถูกคนยิง แต่เมื่อได้เจอกับตัว หนุ่มน้อยรู้สึกว่ามันไม่น่าสงสารเลยสักนิด ยังน่ากลัวอีกต่างหาก
หนุ่มน้อยวิ่งหนีสุดกำลัง เหยียบหญ้าตามรายทางจนจมพื้น เสือดำตัวหนึ่งวิ่งมาอย่างรวดเร็ว กระโจนใส่หนุ่มน้อย
ร่างบางตกใจมากรีบกลิ้งกายหลบ เสือดำจึงตะครุบไม่โดน มันหันกายมาคำรามใส่ จากนั้นกระโจนเข้าใส่หนุ่มน้อยอีก
เห็นเงาวูบหนึ่งโผล่มาจากด้านหลังหนุ่มน้อย กระโจนเข้าหาเสือดำ แรงมันมหาศาลกดเสือดำล้มลง
คน!
หนุ่มน้อยตกใจมาก ทำไมมีคนมากระโจนใส่เสือดำแบบนี้ คนคนนั้นแรงเยอะมหาศาล มันปลุกปล้ำกับเสือดำอยู่พักหนึ่งก็กดเสือดำจนหลังติดพื้น เขาตวาด
“ไป!”
เสือดำคำรามเบาๆ ราวผู้พ่ายแพ้ มันวิ่งหนีไป คนคนนั้นหันหน้ามามองหนุ่มน้อย
หนุ่มน้อยยังอึ้งในสิ่งที่เห็น คนคนนั้นมีคิ้วเข้ม ตาคม จมูกตรง แต่ท่อนบนเปลือยเปล่า กล้ามอกแกร่งยิ่งกว่าเหล็ก ซิคแพคแน่น หล่อแมนเข้มแข็ง แต่ดูเหมือนตามรอยตัวจะมีบาดแผลอยู่บ้าง แต่หนุ่มน้อยยังไม่หายหวาดกลัว แม้แรงจะพูดขอบคุณก็ไม่มี
“ไม่เป็นไรแล้ว” ชายหนุ่มพูดขึ้น พร้อมล้มลงไป
หนุ่มน้อยตกใจมาก เขาวิ่งไปหาชายหนุ่มที่ช่วยชีวิต จากนั้นตะโกนร้อง
“พ่อ ช่วยด้วย ช่วยมูด้วย”
มูเป็นหนุ่มน้อยคณะโบราณคดี เรียนอยู่ปีหนึ่ง พ่อเขาก็เป็นนักโบราณคดีเช่นกัน สองพ่อลูกมาสำรวจทุ่งใหญ่นเรศวรเพราะตรวจพบว่าที่นี่จะมีหลักฐานทางประวัติศาสตร์โบราณที่ยังไม่ค้นพบหลงเหลือ แต่มูกลับเดินท่องเที่ยวอย่างย่ามใจ ทำให้พลัดหลงกับพ่อขึ้นมา
มูร้องตะโกนอยู่เกือบสองชั่วโมง ไม่นานเจ้าหน้าที่ป่าไม้ก็มาเจอพร้อมกับพ่อมูซึ่งใส่แว่น ดูคงแก่เรียนแต่อบอุ่น สองพ่อลูกเข้ากอดกัน
“เป็นไรไหมลูก” พ่อมูถามด้วยเสียงห่วงใยน้ำตาคลอ
“พ่อ ช่วยพี่คนนี้ด้วย เขาช่วยชีวิตมูไว้จากเสือดำ” มูรีบบอก
เจ้าหน้าที่ป่าไม้รีบนำชายคนนั้นไปส่งโรงพยาบาลใกล้เคียงทันที มูเฝ้าไข้ให้ชายที่ช่วยชีวิตทั้งวันโดยไม่ไปไหนเลย เด็กหนุ่มไม่เคยเห็นคนที่มีแรงเยอะขนาดนี้มาก่อน
มูเฝ้าไข้อยู่ทั้งคืน ชายคนนั้นค่อยๆ ลืมตาตื่นขึ้นมา ร่างเขาขยับเล็กน้อย มูรีบวิ่งไปหา
“เป็นไงบ้างพี่”
“ที่..นี่..?”
“โรงพยาบาลครับ พี่ช่วยผมไว้ ขอบคุณนะ” มูกล่าวด้วยเสียงตื้นตัน ใบหน้าอันน่ารักของหนุ่มน้อยเต็มไปด้วยความขอบคุณ
“อืม” ชายหนุ่มตอบรับเบาๆ
"พี่ชื่ออะไรครับ ผมจะได้เรียกถูก?"
ชายคนนั้นคิดพักหนึ่งก็บอก “โลดอน”
“ขอบคุณครับพี่โลดอน ผมชื่อมูนะ”
มูถามขึ้น “พี่มีญาติไหม มูจะได้ติดต่อให้”
“ไม่..”
“ไม่มีเลยเหรอพี่” มูสงสัย หากคนดีแบบนี้ไม่มีญาติคอยห่วงใยก็น่าสงสารนะ
“ไม่..จำไม่ได้”
เฮ่ย ความจำเสื่อมเหรอ? มูอึ้ง แต่นี่แหละก็เป็นจุดเริ่มต้นเรื่องของเขากับชายผู้ลึกลับ
ด้วยพระคุณที่ช่วยชีวิตลูกชาย พ่อมูจึงตัดสินใจพาโลดอนซึ่งความจำเสื่อมมาพักอยู่ที่บ้านในกรุงเทพ โลดอนเป็นคนเงียบๆ ไม่สุงสิงกับใคร ในบ้านมีพ่อมู มูและน้องชายที่เรียน ม.5 อีกหนึ่งคน
สามวันแล้ว โลดอนนอนห้องเดียวกับมู แม้มูจะถามอะไรโลดอนก็มักจะบอกว่า ‘จำไม่ได้’ เป็นประจำ มูไม่มีทางเลือกจึงถ่ายรูปโลดอนลงโซเชียลประกาศหาญาติทางเน็ต แต่ก็ไม่มีใครรู้จัก
วันหนึ่งมูกลับจากมหาวิทยาลัย เด็กหนุ่มซื้อข้าวมาฝากโลดอนด้วย ขณะที่เปิดประตูเข้าห้อง เด็กหนุ่มถึงกับทิ้งถุงข้าวลงกับพื้น ร้องอย่างตกใจ
“เฮ่ย!”
ที่เด็กหนุ่มเห็นไม่ใช่ชายหนุ่มผู้หล่อเหลา แต่เป็นเสือขนสีเหลืองทอง แถมยังเป็นเสือที่มีเขี้ยวงอกยาวออกมาจากบนปากจนถึงคาง
เสือเขี้ยวดาบ!
สัตว์ดึกดำบรรพ์มามานอนในห้องได้ไง? มูตกใจอ้าปากค้าง เสือเขี้ยวดาบได้ยินเสียงดังก็ลืมตาตื่น มันกระโจนเข้าหามูทันที!
เด็กหนุ่มร้องลั่น แต่แรงเสือเขี้ยวดาบเยอะกว่ากดมูไว้ที่ผนักกำแพง มันอ้าเขี้ยวอย่างดุร้าย มูถึงกับหลั่งน้ำตาออกมา เสื้อเขี้ยวดาบรู้ว่ามูรู้ความลับมันแล้ว มันจึงอ้าปากหมายใช้เขี้ยวเจาะที่คอเหยื่อทันที…
------------------------- จบบทนำ --------------------------