บทนำ
ณ บริษัทเอกชนแห่งหนึ่งในกรุงเทพมหานคร บรรยากาศก่อนเริ่มงานค่อนข้างเงียบเพราะพนักงานส่วนใหญ่ยังไม่มาทำงาน ด้วยสภาพการจราจรในเมืองหลวงนั้นเป็นที่รู้กันดีว่าหนาแน่นแค่ไหน แม้บางครั้งจะพยายามเผื่อเวลาไว้แล้วก็ตามแต่ก็ไม่ได้ช่วยอะไรมากนัก เพราะยิ่งนับวันรถยนต์ก็ยิ่งมีปริมาณมากว่าถนนมากเข้าไปทุกวัน และดูเหมือนว่าในทุกวันนี้คนส่วนใหญ่มักจะติดค่านิยมที่ต้องมีรถยนต์ขับ มีคอนโดมิเนียมเพื่อที่จะอวดกับเพื่อนฝูงหรือคนอื่นว่าตัวเองก็มีบ้างเหมือนกัน ทั้งๆที่ความจริงแล้วสิ่งนั้นมันกลับนำความทุกข์มาให้ตัวเองด้วย เพราะภาระหนี้สินที่ต้องแบกรับนั้นไม่ใช่จำนวนน้อยๆ เลย แต่หลายคนก็ยินดีที่จะแบกรับภาระนั้นเพื่อที่จะทำให้ตัวเองมีที่ยืนในสังคมที่เต็มไปด้วยการแข่งขัน
เพราะอยู่ในสังคมแบบนี้มานับสิบปี ศิญาดา รัตน์กุล หญิงสาวต่างจังหวัดที่เข้ามาร่ำเรียนในเมืองหลวงและหลังเรียนจบก็หางานทำในเมืองหลวงตามสาขาวิชาที่ตนเองเรียนจบ แต่ดูเหมือนว่าตอนนี้หญิงสาวกำลังอยู่ในสภาวะที่อยากจะหนีจากเมืองหลวงแหล่งนี้จนอยากจะหายตัวกลับไปอยู่ที่บ้านเกิดที่ต่างจังหวัดในพริบตา
“อ้าวดา! ทำไมวันนี้มาแต่เช้าเชียว มาก่อนเราอีกนะเนี้ย” รมิตา หรือ “หวาน” เพื่อนร่วมงานคนสนิททักศิญาดาทันทีที่เดินมาถึง
“เบื่อๆน่ะ เสร็จเร็วก็เลยออกมาเลย แล้วหวานล่ะ กินอะไรมารึยัง” ศิญาดาตอบเพื่อนสาวแล้วถามต่อ
“เรียบร้อยแล้วล่ะ แล้วดาล่ะ กินอะไรมารึยัง”
“เรียบร้อยแล้วเหมือนกัน พร้อมด้วยนี่” ศิญาดาพูดพรางยกแก้วกาแฟโชว์ให้เพื่อนดูพร้อมรอยยิ้มที่เธอรู้ดีว่าเพื่อนจะพูดว่าอะไร
“ไหนว่าจะลดไง” รมิตาสวมวิญญาณผู้ปกครองถามเสียงเข้ม
“ก็พยายามอยู่น่า ค่อยเป็นค่อยไปเนอะ” หญิงสาวยิ้มแห้งๆ ให้กับเพื่อน
“ก็เห็นพูดแบบนี้ตลอดแหละ” รมิตาทำเสียงในลำคอแบบไม่จริงจังนัก “ทำงานๆๆ เดี๋ยวงานไม่เสร็จ ยิ่งเยอะๆ อยู่ด้วย”
“จ้า” ศิญาดาทำเสียงยานคางตอบพร้อมส่งยิ้มให้เพื่อนสาว และก็ได้ยินเสียงหัวเราะเบาๆ จากเพื่อนกลับมา จากนั้นทั้งสองก็เริ่มทำงานของตนเอง
รมิตาเป็นเพื่อนร่วมงามที่ศิญาดาสนิทด้วยมากที่สุด ด้วยเพราะทั้งคู่ทำงานในฝ่ายเดียวกันและยังร่วมงานกันมากว่า 3 ปีแล้ว ไม่ว่าจะเป็นเรื่องงานหรือเรื่องความคิดเห็น ทั้งศิญาดาและรมิตามักจะมีความคิดเห็นไปในแนวทางเดียวกัน ถึงแม้บางครั้งจะมีการถกเถียงกันเรื่องงานบ้างแต่ก็ไม่ได้มีอะไรมากกว่านั้น เพราะต่างฝ่ายต่างจริงจังกับงานทั้งคู่ เพราะเหตุนี้จึงทำให้ทั้งคู่สนิทกันมากนั่นเอง
บรรยากาศการทำงานเป็นไปตามปกติจนถึงเวลาเลิกงาน ซึ่งโดยปกติแล้วสองสาวมักจะชวนกับไปทานข้าวมื้อเย็นด้วยกันบ่อยตามประสาคนโสดจนมักจะโดนหลายคนในบริษัทเดียวกันถามอยู่บ่อยๆ ว่า “เมื่อไหร่จะแต่งงานกัน” หรือไม่ก็จะถามว่า “เปิดตัวกันแล้วหรอ” แม้ในตอนแรกทั้งสองสาวออกจะเคืองนิดอยู่บ้างที่หลายคนมักพูดเล่นแบบนี้ แต่พอเวลาผ่านไปทั้งสองสาวก็เริ่มชินแถมยังตอบกลับไปด้วยรอยยิ้มว่า “เปิดตัวแล้วค่ะ ตัดชุดได้เลยนะคะ อาจจะได้ไปงานแต่งของเราเร็วๆ นี้”
“ดา ไปหาอะไรกินกันมั๊ย” รมิตาถามทันทีที่เคลียร์งานที่ทำอยู่เสร็จ
“ได้สิ โซจะแย่แล้วเนี้ย แล้วจะกินอะไรดีล่ะ” หญิงสาวพูดพร้อมทำหน้าตาราวกับว่าจะกินช้างได้ทั้งตัว เพราะเมื่อถึงเวลาเลิกงานทีไรเธอมักจะหิวจัดทุกครั้ง จนมีคนเคยค่อนขอดเธอว่าสภาพเธอตอนเลิกงานคล้ายๆ กับคนหิวโซ ไม่ได้กินอะไรมาเป็นสัปดาห์
“งั้นไปกินก๋วยเตี๋ยวร้านเดิมกันมั๊ย” รมิตาเสนอ
“ได้ กินเสร็จแล้วจะได้เดินดูของด้วย แล้วหวานทำงานเสร็จรึยังล่ะ ถ้าเสร็จแล้วจะได้ไปกันเลย หิวแล้ว” พูดแล้วก็ยิ้มตาหยีให้เพื่อน
“ตลอดเลยนะแกเนี้ย หิวตลอดเลย เดี๋ยวก็ได้อ้วนตายสักวัน” รมิตาว่าเพื่อนพร้อมกับเก็บของไปด้วย
“ก็คนมันหิวนี่นา ให้ทำไง” พูดแล้วก็หัวเราะอย่างอารมณ์ดีที่จะได้กินของอร่อย
รมิตาจะจะค่อนข้างระวังเรื่องอาหารการกินเพราะเธอจะดูแลเรื่องรูปร่างให้ดูดผอมเพรียวตลอด ผิดกับศิญาดาที่ไม่เคยมีเรื่องนี้อยู่ในหัวเลย แค่คิดว่าจะได้กินเธอก็อารมณ์ดีแล้ว เพราะแบบนี้เองทำให้ศิญาดามีรูปร่างที่ค่อนข้างอวบแต่ก็ไม่ถึงกับอ้วน แต่ด้วยความสูง 170 เซนติเมตร ถึงแม้จะไม่สูงมากแต่ก็ทำให้ศิญาดาดูไม่อ้วนมากนัก
หลังจากกินก๋วยเตี๋ยวเสร็จสองสาวก็ชวนกันเดินดูสินค้าที่มีพ่อค้าแม่ค้านำมาวางขายจำนวนมากเป็นการย่อยอาหารไปในตัว จนท้องฟ้ามืดสนิทสองสาวจึงแยกย้ายกันกลับที่พักของตัวเอง