แสงแฟลชวูบวาบขณะช่างภาพทุกสำนักพิมพ์รัวชัตเตอร์ถี่ขึ้นเมื่อร่างโปร่งในชุดเกาะอกรัดตึงสีแดงเพลิงเดินออกมาโพสท่าสุดเซ็กซี่เป็นคนสุดท้ายในช่วงไฮไลท์ของงาน กระโปรงยาวพลิ้วผ่าแยกตั้งแต่ต้นขาอ่อนไปถึงชายกระโปรงอวดเรียวขาขาวผ่องขณะย่างกรายไปจนสุดเวที กลีบปากอิ่มสีแดงสดยิ้มเพียงเล็กน้อย ดวงตากลมมนกรีดอายไลเนอร์เพิ่มเสน่ห์เย้ายวนบนใบหน้ารูปไข่เคลือบเครื่องสำอางสีเข้ม ผมยาวที่ถูกรวบเก็บอย่างเป็นระเบียบอวดลำคอระหงเข้ากันกับสร้อยเพชรหลายสิบกะรัตอย่างลงตัว เธอจิกปลายเท้าเดินกรีดกรายมาทางซ้ายแล้วย้ายไปทางขวาอย่างมีจริต ทุกๆ ท่วงท่านำมาซึ่งความน่าสนใจในตัวเธอ รวมไปถึงเครื่องเพชรครบชุดมูลค่าหลายสิบล้าน ดวงตะวันเดินมาโพสท่ากลางเวทีอีกครั้งเป็นจุดสุดท้าย ก่อนแฟชั่นโชว์เครื่องเพชรจะจบลงด้วยการมอบช่อดอกไม้แก่แม่งาน เสียงปรบมือดังลั่นแสดงระดับความพึงพอใจต่องานในวันนี้
แม่งานเดินเข้ามาในห้องซึ่งจัดไว้ให้เหล่านางแบบใช้ในการแต่งหน้าทำผมโดยเฉพาะ หลังถ่ายรูปและให้สัมภาษณ์สื่อร่วมสองชั่วโมงเสร็จสิ้น หญิงสาวก็ไม่ลืมที่จะเข้ามาขอบอกขอบใจทีมงาน รวมถึงผู้มีส่วนร่วมทุกคน ด้วยตระหนักดีว่าทุกอย่างคงจะไม่ออกมาราบรื่นเช่นนี้หากขาดทุกบุคคลเหล่านี้ไป ประโยคแสดงความยินดีดังขึ้นสลับกับเสียงหัวเราะคิกคักอย่างต่อเนื่อง ชวนให้บรรยากาศในห้องที่คนเพลาลงแล้วเริ่มกลับมามีสีสันอีกครั้ง
ตลอดชีวิตการทำงานของนันทิดา เธอต้องผ่านอุปสรรคขวากหนามมากมายกว่าจะเดินมาถึงจุดนี้ ธุรกิจที่เคยเกือบล้มเหลวมาแล้วครั้งหนึ่งไม่ได้บั่นทอนกำลังแรงใจให้หญิงแกร่งรายนี้ทดท้อเลยสักกระผีก ตรงกันข้าม กลับยิ่งเป็นแรงผลักดันให้เธอสู้จนยิบตา ฟันฝ่าวิกฤติทั้งดีและร้ายจนทำให้สาวใหญ่วัยสามสิบตอนปลายสัมผัสรสชาตของคำว่า ‘ความสำเร็จ’ ได้ลึกซึ้งกว่าใครๆ และเพราะเป็นคนร่าเริงสนุกสนาน ซ้ำยังเป็นกันเอง ไม่ถือตัว จึงทำให้นันทิดามีเพื่อนมาก ทั้งเพื่อนร่วมวงการธุรกิจ นางแบบ ตลอดจนลูกค้า เป็นต้องหลงรักเธอทุกคน
ร่างสูงโปร่งเดินเข้ามาโอบไหล่นางแบบรุ่นน้องที่นั่งลบเครื่องสำอางรอท่าอยู่หน้ากระจกด้วยความสนิทสนม ทั้งสองคนมอบยิ้มให้กันผ่านเงาสะท้อนก่อนที่รุ่นพี่จะเป็นฝ่ายเอ่ยขึ้น “ขอบใจมากนะตะวัน พี่ไม่ผิดหวังจริงๆ ที่เลือกตะวันมาเดินฟินาเล่ให้”
“สำหรับคุณนัน ตะวันทุ่มสุดชีวิตอยู่แล้วค่ะ แต่ถ้าเปลี่ยนจากคำขอบใจเป็นแหวนเพชรสักวงคงดีนะคะ”
นันทิดาค้อนปะหลับปะเหลือกก่อนจะหลุดยิ้มออกมาในที่สุด ดวงตะวันเป็นแบบนี้เสมอ วางมาดนางพญาสุดเซ็กซี่ไว้บนแคตวอค์ก กรีดยิ้มเย้ายวนชวนหลงใหลจนผู้ชายตาละห้อย คอยนั่งซับเลือดกำเดาเป็นทิวแถว แต่ทั้งหมดก็เป็นเพียงแค่ภาพหน้าฉาก หากเมื่อเธอสลัดคราบโฉบเฉี่ยวเปรี้ยวเข็ดฟันตั้งแต่ขาข้างหนึ่งก้าวพ้นขอบเวที เธอจะกลายเป็นผู้หญิงแก่นซน สดใสร่าเริง ใครอยู่ใกล้เป็นยิ้มได้ทุกครั้ง
“ให้หนุ่มรูปงามที่นั่งมองตะวันตาเยิ้มอยู่หน้าเวทีเป็นคนซื้อให้ดีกว่าไหมจ๊ะ” คนกระเซ้าหรี่ตาแซวเมื่อมองเห็นชัดเจนว่าผู้ชายผิวพรรณดี รูปร่างสมส่วน ใบหน้าสะอาดสะอ้านหล่อเหลานั่งอยู่แถวหน้าสุด แสดงว่าเป็นบุคคลระดับวีไอพี เขาจับจ้องดวงตะวันตั้งแต่แรกเห็นจนกระทั่งนางแบบสาวเดินหายไปเข้าไปในหลังฉาก นัยน์ตาคมระยับคู่นั้นพึงพอใจมากเพียงไหน มีหรือที่คนหูตากว้างไกลจะดูไม่ออก
“ใครกันคะ ตะวันไม่ยักเห็น” เป็นเพราะแสงไฟที่สาดลงมากอปรกับแสงแฟลชจากช่างภาพหลายสำนักลดทอนประสิทธิภาพการมองเห็นของเธอไปกว่าครึ่ง
“คุณชายรวีกานต์ สรดิษฐ์ เทพบุตรในฝันของพี่น่ะสิ” คนพูดยิ้มตาหยี แล้วยกมือขึ้นมาแนบพวงแก้มแดงปลั่งของตน กระดี๊กระด๊ายิ่งกว่าปลากระดี่ได้น้ำ
“คุณชงคุณชายอะไรตะวันไม่รู้จักหรอกค่ะ” ดวงตะวันพูดอย่างไม่ใคร่ใส่ใจ สองมือยังคงสาละวนอยู่กับเครื่องประทินความงามบนโต๊ะเครื่องแป้งที่พกมาเอง ผิวบอบบางมักจะแพ้ได้ง่ายหากใช้ของสุ่มสี่สุ่มห้า “ถ้าเป็นจันทร์เสี้ยวก็ว่าไปอย่าง”
“ใครกัน จันทร์เสี้ยว” สาวรุ่นพี่ถามงงๆ แต่ไหนแต่ไรไม่เคยได้ยินชื่อนี้จากปากดวงตะวันเลยสักครั้ง
หญิงสาวปล่อยมือจากภารกิจ แล้วหันหน้ามายิ้มหวานหยด “น้องสาวฝาแฝดของตะวันเองค่ะ”
“ตะวันมีฝาแฝดด้วยหรือ พี่ไม่เคยรู้มาก่อนเลย” นันทิดาตีสีหน้าแปลกใจคล้ายได้ฟังเรื่องประหลาดอย่างไรอย่างนั้น
ดวงตะวันหมุนเก้าอี้กลับมาหาคู่สนทนาที่ตอนนี้เดินไปหย่อนก้นลงนั่งบนเก้าอี้บุนวมฝั่งตรงข้าม หลังจากนั้นก็เท้าความชีวประวัติแฝดคนน้องให้อีกฝ่ายคลายสงสัย
เมื่อสิบแปดปีก่อน บิดาและมารดาของแฝดหญิงตกลงเลิกรากันด้วยเหตุผลที่ต่างคนต่างมีใครใหม่ สองครอบครัวเกิดรอยร้าวที่ไม่อาจสานต่อให้เหมือนเดิม ต่างฝ่ายต่างกล่าวโทษกันไปมาว่าอีกคนคือฝ่ายผิด ผลกรรมทั้งหมดจึงจำต้องตกอยู่กับลูก ดวงตะวันกำพร้าพ่อ ส่วนพระจันทร์เสี้ยวกำพร้าแม่
ตั้งแต่พ่อและแม่มีครอบครัวใหม่ ดวงตะวันก็เติบโตมาได้ด้วยความรักจากยาย เธอถูกเลี้ยงดูอย่างมีอิสรเสรีที่ตีกรอบเอาไว้ด้วยความถูกต้อง ผิดกับพระจันทร์เสี้ยวที่ต้องไปอยู่กับย่าในวังทางเมืองเชียงใหม่เพื่อจะเรียนรู้กิริยามารยาท สร้างความเป็นกุลสตรีที่ดีพร้อมในทุกๆ ด้าน ทั้งสองคนไม่เคยเจอกันอีกเลยนักจากวันนั้น
จนกระทั่งเมื่อห้าปีก่อน ดวงตะวันไปเที่ยวทางเหนือเพื่อฉลองการสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้สำเร็จ ไม่รู้ว่าเพราะบังเอิญหรือโชคชะตาที่พาให้พบเจอกับแฝดคนน้อง หากมองอย่างผิวเผินทั้งสองก็คล้ายคลึงชนิดเป็นพิมพ์เดียว แต่ทว่าเมื่อพินิจดูดีๆ จะเห็นว่าพระจันทร์เสี้ยวนั้นมีผิวขาวผุดผาด เครื่องหน้าหวานละมุนกว่าคนพี่ที่นิยมออกแดดเที่ยวสนุกกับเพื่อนๆ หากกระนั้นดวงตะวันกลับดูมีน้ำมีนวล มีรอยยิ้มกระจ่างสดใสมากกว่าคนน้อง หลังจากนั้นแฝดหญิงก็เริ่มติดต่อกัน จะมีพักหลังมานี้ที่ดวงตะวันงานยุ่งจนไม่มีเวลาติดต่อไปและอีกฝ่ายก็ยังไม่ติดต่อมา จนตอนนี้ก็สามเดือนแล้ว ไม่รู้ว่าป่านนี้น้องสาวหัวอ่อนจะใช้ชีวิตด้วยความเบื่อหน่ายสักแค่ไหน
เสียงฝีเท้าของใครบางคนที่กำลังเดินเข้ามาทำให้สองสาวชะงัก เมื่อหันขวับไปมองอย่างพร้อมเพรียงก็พบหนุ่มวัยรุ่นในชุดยูนิฟอร์มสีแดงสลับดำ ในมือถือกุหลาบช่อโตสวยสะพรั่งเข้ามาด้วย “ดอกไม้ของคุณผู้หญิงครับ”
“จากใครคะ” ดวงตะวันถามทั้งที่ยังลังเล สองจิตสองใจว่าควรรับเอาไว้หรือปฏิเสธดี เมื่อก่อนหน้านี้มีแต่พวกเฒ่าหัวงู หรือไม่ก็พวกผู้ชายรักสนุกส่งมาให้ พอรับไว้ก็หาว่าเล่นด้วย กว่าจะไล่ออกไปจากชีวิตได้ก็เล่นเอาเพลียใจไปเป็นเดือน เพราะฉะนั้นกันไว้ดีกว่าแก้นั่นละดีที่สุด
เด็กหนุ่มไม่ตอบว่าอะไร เขาเอาแต่ผายมือไปยังโบที่ผูกเอาไว้ตรงปลายช่อเพื่อให้เห็นการ์ดใบเล็กซึ่งคงจะตอบได้ทุกข้อสงสัย เพื่อนรุ่นพี่เข้ามากระแซะพลางพยักพเยิดให้รับไว้ ดวงตะวันยิ้มแห้งๆ ก่อนจะยอมทำตามอย่างไม่เต็มใจเท่าไรนัก เมื่อเซ็นชื่อรับของเรียบร้อย พนักงานส่งดอกไม้ก็จากไป
‘ยินดีที่ได้รู้จักครับ จากคุณชายรวีกานต์ สรดิษฐ์’
“ว่าแล้วไง” นันทิดาตบมือฉาดใหญ่ ดีใจยิ่งกว่าถูกลอตเตอรี่รางวัลที่หนึ่ง
“คนระดับนั้นจะมาสนใจอะไรในตัวตะวันคะ ขี้คร้านพอได้แล้วก็เขี่ยทิ้ง”
สาวรุ่นพี่หน้าง้ำอย่างขัดใจกับการมองโลกเลวร้ายเกินกว่าเหตุ “คุณชายไม่ใช่คนประเภทนั้นเสียหน่อย พี่ติดตามทุกคอลัมน์ของท่านเชียวนะ สุภาพ อ่อนโยน แล้วก็อบอุ่น นั่นละนิสัยของท่าน”
ดวงตะวันพ่นลมหายใจพลันส่ายหน้าระอา นันทิดาชักจะเพ้อเกินไปแล้ว “นั่นยิ่งไม่ใช่สเปกของตะวันเลยค่ะ ดีเกินไปบางครั้งก็น่าเบื่อนะคะ ผู้ชายมันต้องกะล่อนนิดๆ เลวหน่อยๆ อย่างนั้นสิคะถึงจะมีสีสัน”
“ทำพูดดีไป ถ้าได้แฟนแบบนั้นจริงๆ เมื่อไหร่แล้วจะรู้สึก” นันทิดาเย้าแกมหยอก ก่อนจะบุ้ยปากไปยังกุหลาบช่อโต “ถ้าไม่สนใจจริงๆ อย่างนั้นกุหลาบช่อนี้พี่ขอนะ”
“ได้สิคะ” เสียงใสตอบออกไปโดยไม่ลังเล เห็นสาวรุ่นพี่หน้าบานฉีกยิ้มจนแก้มปริ ดวงตะวันก็ได้แต่ส่ายหน้าขบขัน
สาวโสดสูดกลิ่นดอกไม้เข้าเต็มปอดและชื่นชมช่ออดอกไม้ประหนึ่งอัญมณีเลอค่า ก่อนจะคิดได้ว่าเธอควรได้แค่ดอกไม้ ส่วนการ์ดแทนใจใบนี้ดวงตะวันควรเป็นคนเก็บไว้เอง “เก็บไว้เถอะตะวัน อย่างน้อยคนให้จะได้ไม่เสียน้ำใจไง”
กระดาษแผ่นเล็กถูกยัดมาไว้ในมือ จากนั้นสาวรุ่นพี่ก็ฮัมเพลงพร้อมทั้งกระโดดอย่างร่าเริงกลับไปด้วยหัวใจรื่นรมย์ ดวงตะวันทอดถอนใจแล้วจำต้องใส่มันลงไปในกระเป๋า รู้สึกไม่สบายใจชอบกล สมองหรือก็คิดถึงเพียงชื่อคุณชายรวีกานต์ สรดิษฐ์ วกไปวนมาอยู่อย่างนั้น แค่ดอกไม้ช่อเดียวกับข้อความสั้นๆ เพียงพอให้หัวใจเต้นผิดจังหวะแล้วหรือ ไม่เข้าใจตัวเองเลยจริงๆ
************************************
ศาลาทรงไทยแบบดั้งเดิมภายในวังฑิฆัมพรเป็นที่ประทับสำหรับผ่อนคลายของหม่อมจุรีรัศมี หญิงสามัญชนที่ได้รับแต่งตั้งเป็นชายาคนที่สองของพระองค์เจ้าหัสดี หลังจากท่านสิ้นพระชนม์ไปด้วยโรคชราภาพ วังฑิฆัมพรแห่งนี้ก็มีหม่อมจุรีรัศมีเป็นเจ้าของ ท่านชื่นชอบดอกลีลาวดีเป็นพิเศษ จึงสั่งให้คนสวนคัดสรรมาปลูกเอาไว้เต็มวัง ทั้งหน้าหลังต่างรายรอบด้วยพืชพรรณชนิดนี้ สีขาวบริสุทธิ์สะอาดสะอ้านเพลินตานักเมื่อแลมอง สายลมที่พัดเอากลิ่นหอมอบอวลมาต้องจมูกสร้างรอยยิ้มและคลายความเหนื่อยล้าลงไปได้อย่างดี
คุณพรรณรายนั่งพับเพียบอยู่ข้างตั่ง ขณะที่หม่อมจุรีรัศมีเอนหลังพิงหมอนอิง หลับตาพริ้มฟังพระจันทร์เสี้ยวอ่านเรื่องอิเหนาตอนบุษบาเสี่ยงเทียนด้วยความสำราญ แก้วเสียงใสดำเนินเรื่องไปด้วยอรรถรส ครั้นเมื่อไล่สายตามาถึงบรรทัดสุดท้าย วรรณกรรมเล่มหนาก็ถูกปิดลงพร้อมด้วยรอยยิ้มจากผู้ฟัง
“สนุกจริงๆ นะคะ” คุณพรรณรายเอ่ยชมอย่างชอบใจ ลงท้ายหางเสียงว่า ‘คะ’ เพราะหม่อมราชนิกุลนั้นไม่นับว่าเป็นเจ้านายในพระราชวงศ์ จึงไม่จำเป็นต้องใช้คำราชาศัพท์ หากเป็นเพียงยศพิเศษที่ได้รับพระราชทานมาเท่านั้น
หญิงสูงศักดิ์วัยชราพยักหน้าน้อยๆ ด้วยกิริยาสง่างาม พึงใจในความสามารถของหญิงสาวที่นอกจากรูปร่างหน้าตางดงามแล้ว ยังเพียบพร้อมด้วยลักษณะของเบญจกัลยาณี “ถ้าเธอเป็นนางบุษบา เธอจะอภัยให้อิเหนารึเปล่า”
ปากบางตีวงโค้งขึ้นยิ้มเพียงเล็กน้อย ครุ่นคิดสักครู่ก็ตอบออกมาด้วยประกายตาวาวใส “ให้อภัยค่ะ”
หม่อมจุรีรัศมีชักสีหน้าสงสัย เพราะหากเป็นท่าน แน่นอนว่าคำตอบคือไม่ ถึงอย่างไรอิเหนาก็ขึ้นชื่อเรื่องเจ้าชู้มากรัก พลอยทำให้ผู้หญิงบริสุทธิ์ต้องมัวหมองทั้งร่างกายและจิตใจ “ทำไมรึ”
“เพราะความรักสำหรับดิฉันคือการให้อภัยค่ะ ถ้าบุษบารักอิเหนา ต่อให้อิเหนาทำผิดมหันต์ บุษบาก็ย่อมให้อภัยได้ค่ะ”
หม่อมจุรีรัศมีพยักหน้าแล้วคลี่ยิ้ม พระจันทร์เสี้ยวคงเป็นเพียงสรรพนามของเธอกระมัง หากเนื้อแท้แล้วไซร้ หญิงสาวคนนี้คือพระจันทร์เต็มดวง ทั้งสวยงามและมีคุณค่ายวดยิ่ง คู่ควรแล้วกับหลานชายเพียงคนเดียวของท่าน
“มะรืนนี้รวีกานต์จะกลับมาแล้ว หารือกับเขาเรื่องงานแต่งให้เรียบร้อยนะ”
“ตายจริง กลับมาแล้วหรือคะ ดิฉันนึกกลัวว่าจะมาไม่ทันเตรียมงานเสียอีก” พรรณรายยกขึ้นทาบอก ทั้งตกใจและดีใจระคนกัน ก่อนหน้านั้นนางอดหวั่นไม่ได้ว่าเจ้าบ่าวจะโผล่หน้ามาร่วมพิธีเอาในวันสำคัญตอนนั้นเลย หากเป็นเช่นนั้นจริงอกคนแก่คงแตก
พระจันทร์เสี้ยวเติบโตมาในวัง ยากดีมีจนอย่างไรก็มีศักดิ์เป็นถึงหลานสาวคนสนิทของหม่อมจุรีรัศมี ท่านเอ็นดูหลานสาวคนนี้มาตั้งแต่อ้อนแต่ออก หญิงสาวเป็นกุลสตรีทุกกระเบียดนิ้วตามที่ได้รับการอบรมสั่งสอน ความรู้ความสามารถไม่น้อยหน้าใคร ไหนจะงานบ้านงานเรือน เย็บปักถักร้อย ไล่เรียงไปจนเสน่ห์ปลายจวัก พระจันทร์เสี้ยวก็เป็นทั้งหมด ท่านจึงประทานพิธีมงคลสมรสให้เธอกับหลานชายเพียงคนเดียวในที่สุด
“ขาดเหลืออะไรก็บอกนะ ฉันจะเป็นธุระจัดการให้”
หญิงสาวพนมมือก้มลงกราบรับในความกรุณา แม้ใบหน้านั้นจะจืดเจื่อน “ขอบพระคุณค่ะ”
จากสามเดือนเคลื่อนคล้อยเข้ามาเหลือสามสัปดาห์ พิธีวิวาห์ที่เกิดขึ้นจากความพึงพอใจของผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่าย ประทานสมรสให้โดยหม่อมจุรีรัศมี ต่อให้คนที่เก่งกล้ามาจากไหนก็ไม่อาจปฏิเสธ แล้วนับประสาอะไรกับคนไม่เคยมีปากเสียงเช่นเธอ ทั้งๆ ที่ยังไม่พร้อมจะออกเรือน ทั้งๆ ที่อยากจะทำในสิ่งที่ตนรักและใฝ่ฝัน หากดูเหมือนสิ่งเหล่านั้นกลับไม่มีวันเป็นความจริง ชีวิตของพระจันทร์เสี้ยวที่เติบโตมาในรั้ววังแห่งนี้ต้องดำเนินไปจนกว่าจะตายอยู่ภายในวังฑิฆัมพรเช่นกัน