“พวกเขาจะทำอะไรกันหรือเจ้าคะ”
เสียงคนอ่อนวัยกว่าอดถามขึ้นมาไม่ได้เมื่อเห็นเงาร่างสีดำเบื้องหน้าสองร่างแสดงท่าทางพิลึกพิลั่น ดวงตาซุกซนเปล่งประกายขบขันเมื่อเงาร่างหนึ่งลุกขึ้นกางแขนขาพร้อมบิดสะโพกไปมาส่วนอีกร่างแม้ไม่ลุกขึ้นทำท่าประหลาดแต่ริมฝีปากก็ขยับพึมพำส่งเสียงงึมงำเป็นท่วงทำนองอยู่ในลำคอ
“พวกเขากำลังทำพิธีบวงสรวงเจ้า” มือเหี่ยวย่นยกขึ้นสะบัดเสื้อสีหม่นที่เต็มไปด้วยฝุ่นจนเจ้าของต้องแค่นเสียงไอหนักๆ
“ทำพิธีบวงสรวงข้าหรือ? จะต้องบวงสรวงข้าทำไม?”
ใบหน้าเล็กเจ้าของร่างบอบบางที่สูงเพียงแค่สองฉื่อ(ประมาณ 2 ฟุต) เผยสีหน้างุนงงมองชายชราที่กำลังงอตัวแค่นเสียงไอจากละอองฝุ่นที่ฟุ้งกระจายอยู่ในอากาศจนจมูกเล็กทำท่าฟุดฟิดตามก่อนจะจามออกมาอย่างแรงถึงสามครั้ง
“ขอโทษด้วย ข้ามิได้ขยับตัวมานานมาก”
ก็คงจะนานมากจริงๆ นั่นแหละทั้งละอองฝุ่นทั้งคราบสกปรกจึงได้เต็มร่างเช่นนี้ เจ้าของร่างเล็กคิดในใจก่อนจะยกมือปัดฝุ่นตามเสื้อของตัวเองบ้าง ไม่ใช่เพียงแค่ชายชราเท่านั้นที่มีคราบสกปรกนางเองก็มีสภาพไม่ต่างกัน
“เจ้าก็คือเทพธิดาจิ้งจอก” ชายชรากล่าวออกมาสีหน้าของเขาดีขึ้นมากเมื่อเสื้อสีหม่นของเขาเริ่มปราศจากคราบฝุ่น
“ข้านะหรือคือเทพธิดาจิ้งจอก” นานเกือบเค่อกว่าที่ข้อนิ้วมือขนาดเล็กกว่าใบหลิวจะยกขึ้นชี้เข้าหาตัวเองก่อนเบนเข้าหาคู่สนทนาทั้งคำถามทั้งสายตาทั้งสีหน้ามีแต่ความงุนงง “หากข้าคือเทพธิดาจิ้งจอกแล้วท่านล่ะคือใคร?”
“ข้าก็คือเจ้าที่ผู้ดูแลที่นี่นะสิ”
คนตอบส่งยิ้มเย็นให้พร้อมกับกวาดสายตาไปรอบๆ คล้ายกำลังดำดิ่งสู่อดีต ดวงตาของชายชรากระจ่างใสต่างจากร่างกายที่บ่งบอกถึงความชรา แผ่นหลังของเขาโค้งงอเส้นผมสีขาวยาวถึงกลางหลังบนใบหน้ามีริ้วรอยของความยับย่นจากกาลเวลา
ภาพปรักหักพังรอบๆ ถูกซ้อนทับด้วยความสวยงามจนคนมองไม่อยากเชื่อว่ามันคือสถานที่เดียวกัน เสียงลมหวีดหวิวคลอเคล้าเสียงบทสวดพึมพำเงาร่างอ้อนแอ้นกำลังร่ายรำใต้แสงเทียนเล่มเล็กยิ่งทำให้คนมองดำดิ่งลึกลงสู่อดีต
ตัวอักษร ‘ไป่หู’ แกะสลักงดงามบนป้ายไม้ชั้นดี ศาลเจ้าไป่หูแม้ตั้งอยู่ชานเมืองหลวงแต่ก็มีผู้คนหลั่งไหลเข้ามากราบไหว้นอกจากพระพุทธรูปสีทององค์ใหญ่ที่ตั้งตระหง่านกลางโถงแล้ว อีกสิ่งหนึ่งที่ผู้คนมักเข้ามากราบไหว้ขอพรก็คือหยกสีขาวสลักรูปสุนัขจิ้งจอกขนาดเท่าจิ้งจอกตัวเต็มวัยตั้งริมห้องโถงใหญ่ถือเป็นตัวแทนของเทพธิดาจิ้งจอก ว่ากันว่าหากเรื่องที่ขอไม่ขัดต่อศีลธรรมเทพธิดาจิ้งจอกย่อมช่วยเหลือ คิดถึงตรงนี้ชายชราก็ผ่อนลมหายใจยาว
เพราะช่วยเหลือคนผิดขัดต่อบัญชาสวรรค์ในครั้งนั้นของเทพธิดาจิ้งจอก องค์เง็กเซียนฮ่องเต้ทรงพิโรธจากจิ้งจอกพันปีจึงเหลือเพียงแค่ทารกจิ้งจอกตัวน้อย เมื่อไม่มีเทพธิดาจิ้งจอกผู้คนไหนเล่าจะเข้ามากราบไหว้นานเข้าจึงกลายเป็นศาลเจ้าร้าง
“เจ้าจะค่อยๆ จำได้”
เทพธิดาจิ้งจอกพยักหน้ารับหลังจากฟังเรื่องของตัวเองจากท่านเจ้าที่ ดวงตากลมโตซุกซนหันกลับไปเพ่งมองเงาร่างในความมืดมิดนั้นต่อ หากสิ่งที่ทั้งสองปรารถนาไม่ขัดต่อคุณธรรมและบัญชาสวรรค์เทพธิดาจิ้งจอกน้อยเช่นนางก็สมควรจะยื่นมือเข้าช่วยเหลือเพื่อเพิ่มตะบะให้ตัวเองได้อีกทาง
แต่ปัญหาคือ นางจะรู้ได้อย่างไรว่าสิ่งที่เงาร่างทั้งสองต้องการนั้นขัดต่อบัญชาสวรรค์อีกหรือไม่ หากคราวนี้นางทำให้เง็กเซียนฮ่องเต้ทรงพิโรธอีกครั้งคาดว่าเทพธิดาจิ้งจอกเช่นนางคงดับสูญ
กล่าวถึงแคว้นฉู่เยี่ยน(ชื่อสมมุติ) ภายใต้การปกครองของฮ่องเต้ ‘หยวนเฟยหลง’ แบ่งการทหารคุ้มกันแคว้นเป็นสี่กองตามชายแดนมีแม่ทัพใหญ่ทั้งสี่คือ แม่ทัพธงดำ(ดูแลชายแดนทิศเหนือ),แม่ทัพธงเขียว(ดูแลชายแดนทิศตะวันออก),แม่ทัพธงแดง(ดูแลชายแดนทิศใต้),แม่ทัพธงขาว(ดูแลชายแดนทิศตะวันตก)
กองทัพทั้งสี่กองอยู่ภายใต้แม่ทัพพิทักษ์แผ่นดินหรือแม่ทัพธงเหลืองซึ่งขึ้นตรงต่อฮ่องเต้เพียงคนเดียว รัชศกของหยวนเฟยหลงสงบสุขตั้งแต่ขึ้นครองราชย์ หากจะกล่าวว่าราษฎรอยู่อย่างสงบไร้สงครามทั้งภายนอกและภายในก็ไม่อาจจะกล่าวได้เต็มปากเพราะสิบตปีก่อนเกิดสงครามครั้งใหญ่ สงครามครั้งนั้นทำให้แม่ทัพธงขาวต้องเสียแขนข้างขวารวมถึงขาข้างหนึ่งต้องพิการ
ถึงแม้ว่าสงครามจะจบลงแคว้นฉู่เยี่ยนได้รับชัยชนะสามารถปกป้องแผ่นดินเอาไว้ได้ แต่จากเหตุการณ์ครั้งนั้น มู่ชิงเทียน ไม่อาจปฏิเสธได้ว่าเกิดคลื่นใต้น้ำตามมามากมาย แม้จะยังไม่ร้ายแรงแต่เขาก็รู้ว่าสักวันคลื่นใต้น้ำเหล่านั้นจะกลายเป็นระลอกคลื่นกระทบเข้าหาฝั่ง หากคลื่นจำนวนน้อยแรงกระทบคงแผ่วเบาแต่หากคลื่นจำนวนมากเล่าเขาจะทำเช่นไร
ด้วยร่างกายที่เริ่มอ่อนกำลังเพราะผ่านมาแล้วถึงสี่สิบเจ็ดหนาว ตำแหน่งแม่ทัพพิทักษ์แผ่นดินก็ยังไร้ผู้สืบทอดทำให้มู่ชิงเทียนเคร่งเครียด หากจะกล่าวว่าเขาไม่มีทายาทก็คงไม่ถูกเสียทีเดียวเพราะเขามีทายาทซ้ำยังเป็นบุตรชายเพียงคนเดียว บุตรชายผู้นี้มีหน่วยก้านไม่เลวหากแต่ที่เลวคือ ‘นิสัย’
“เฮ้อ!”