ณ มหาวิทยาลัยอันดับต้นๆ ที่ตั้งอยู่ใจกลางเมือง อมรกานต์หรือกานต์ นักศึกษาหนุ่มชั้นปีที่ 3 ของคณะอักษรศาสตร์ เอกวิชาภาษาจีน นั่งอยู่ในโรงอาหารของคณะอย่างหมดแรงเพราะเขาเพิ่งจะออกมาจากห้องสอบของวิชาสุดท้ายที่ทั้งหินและโหดที่สุด วิชาบทความคัดสรรวัฒนธรรมจีนเป็นวิชาที่เรียนเกี่ยวกับวัฒนธรรมของคนจีนตั้งแต่สมัยโบราณจนถึงสมัยปัจจุบันโดยเนื้อหาที่เรียนนั้นเป็นภาษาจีนทั้งหมด ดังนั้นการอ่านหนังสือสอบแบบหามรุ่งหามค่ำเป็นระยะเวลาสามวันสองคืนส่งผลให้ใบหน้าเรียวที่มีคางแหลม ปลายจมูกเชิดเล็กน้อยและริมฝีปากบางเล็กนั้นดูโทรมลง ผิวหนังใต้ดวงตากลมเล็กนั้นคล้ำเล็กน้อยแต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้ทำให้ความน่ารักของอมรกานต์นั้นลดลง ถ้าให้เทียบกับก่อนหน้านี้คงคลายกับแมวซุกซนตัวน้อยที่กำลังง่วงงัวเงีย
“กลับไปนอนที่บ้านดีกว่าไหมกานต์” ขวัญพนัสหรือเฟียร์ซ พี่รหัสหนุ่มหน้าสวย ดีกรีสมบัติของคณะเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงที่ขบขัน ร่างสูงบางของขวัญพนัสอยู่ในชุดนักศึกษาที่เรียบร้อยถึงแม้จะอยู่ปีที่ 4 แล้วก็ตาม ใบหน้าเรียว ดวงตาเฉี่ยวราวกับดวงตาหงส์ ผิวขาวกระจ่างใส กลีบปากสีชมพูสดและเสื้อผ้าเครื่องประดับที่ใช้บ่งบอกได้อย่างดีว่าคนๆ นี้มาจากตระกูลที่ร่ำรวย
“ก็อยากอยู่หรอกครับแต่เฮียบอกให้รอเจอกันก่อนนิ” อมรกานต์พูดด้วยน้ำเสียงงอแงและน่าเอ็นดูเพราะขนาดตัวที่สูงแค่ 170 เซนติเมตรทำให้อมรกานต์ยังดูเหมือนเด็กมัธยมตัวน้อย
“ก็เฮียเห็นกานต์โพสในเฟสบุ๊คว่าอยากฝึกงานช่วงปิดเทอม เฮียเลยจะมาถามว่าสนใจจะไปฝึกที่บริษัทของครอบครัวเฮียไหม”
“บริษัทจิวเวอร์รี่ยักษ์ใหญ่นั้นนะหรอ ได้จริงหรอเฮีย!” อมรกานต์สติเข้าร่างทันทีเมื่อพี่รหัสเอ่ยถึงบริษัทจิวเวอร์รี่ที่ใหญ่เป็นอันดับต้นๆ ของเอเชียแถมยังมีสาขาอีกหลายที่ทั้งในและต่างประเทศ บริษัทที่รับแต่พนักงานระดับหัวกะทิเท่านั้น
“คิกๆ ดูทำหน้าเข้า ลืมหรอว่าเฮียคือใครแค่น้องชายคนเดียวทำไมจะฝากเข้าไปทำไม่ได้หื้ม” ขวัญพนัสหัวเราะอย่างมีเสน่ห์แล้วยื่นมือไปขยี้ผมน้ำตาลบรอนของรุ่นน้องอย่างมันเขี้ยว
“ไม่ลืมหรอกครับ แต่จะดีจริงๆ หรอเฮีย พนักงานคนอื่นเขาจะว่าเฮียลับหลังรึเปล่า”
อมรกานต์เอ่ยถามอย่างเป็นกังวล เพราะถ้าถามจากใจจริงว่าเขาอยากจะไปฝึกงานที่นั้นไหมก็ต้องบอกเลยว่ายากมากเพราะบริษัทของครอบครัวพี่รหัสของเขานั้นโด่งดังมากถ้าได้มีโอกาสฝึกงานด้วยคงจะมีประวัติที่ดีแน่ๆ ในตอนที่เขาเรียนจบไป แต่อีกใจก็ไม่อยากให้พี่รหัสของเขาต้องถูกนินทาลับหลังและมองในทางที่ไม่ดี
“หึ ไม่ต้องห่วงเรื่องนั้นหรอกใครจะนินทาก็นินทาไปเถอะเฮียไม่ว่าแต่ถ้าเกิดเฮียได้ยินเมื่อไหร่พวกนั้นก็แค่ต้องเก็บของแล้วออกไปจากบริษัทซะ” ขวัญพนัสพูดอย่างทีเล่นทีจริง แต่ดวงตาเฉี่ยวนั้นบ่งบอกว่าสิ่งที่พูดนั้นไม่ใช่เรื่องล้อเล่น ทุกคนไม่ว่าจะในบริษัทหรือในมหาวิทยาลัยต่างก็รู้กิตติศัพท์ของขวัญพนัส หวัง ลูกชายคนเล็กของตระกูลหวังดีว่าเอาแต่ใจและร้ายกาจแค่ไหนจะมีก็แต่น้องรหัสสุดน่ารักอย่างอมรกานต์นี้แหละที่คิดว่าขวัญพนัสใจดีที่สุด
“อืม..ถ้าอย่างนั้นฝึกครับ” อมรกานต์ตอบรับหลังจากที่คิดทบทวนดูแล้ว
“ดีมาก ถ้าอย่างนั้นเฮียให้เวลาเราหยุดพักผ่อนหนึ่งอาทิตย์แล้วใกล้ๆ เฮียจะโทรไปหาอีกที อะนี่ลืมไปเฮียซื้อมาฝาก” ขวัญพนัสยิ้มอย่างพอใจแล้ววางถุงกระดาษจากร้านเบเกอรี่เจ้าดังในมหาวิทยาลัยส่งให้น้องรหัส
“โหเฮียซื้อมาทำไมตั้งสามชิ้น” อมรกานต์ร้องอุทานเสียงหลงอย่างลืมตัวเมื่อเห็นเค้กทรงสามเหลี่ยมจำนวนสามชิ้นอยู่ในนั้น จะไม่ให้เขาตกใจได้อย่างไรในเมื่อราคาของเค้กแต่ละชิ้นนั้นเหยียบหลักร้อยกว่าทั้งนั้น นั่นจึงทำให้อมรกานต์ไม่เคยเข้าไปกินสักครั้งตลอดสามปีที่ผ่านมาจะมีก็แต่พี่รหัสคนดีของเขานี้แหละที่คอยซื้อมาฝาก
“รางวัลที่เราตั้งใจเรียนและเป็นน้องชายที่น่ารักของเฮีย โอ๊ะ! เฮียต้องไปแล้วนะยังไงเดี๋ยวจะติดต่อไป บ๊ายบาย” ขวัญพนัสพูดขึ้นเมื่อเห็นว่าหน้าจอโทรศัพท์ของเขามีสายเรียกเข้าจากคนขับรถที่มารับเขา
“บ๊ายบายครับเฮีย ขอบคุณสำหรับเค้กด้วยนะครับ!!” อมรกานต์ตะโกนตามหลังพี่รหัสที่เดินจากไปด้วยท่าทางที่สง่า
ดวงตากลมเล็กของอมรกานต์ก้มมองที่ถุงขนมเค้กราคาแพงแล้วยกยิ้มออกมาจางๆ ตั้งแต่ที่พ่อแม่ของเขาเสียชีวิตไปเมื่อสามปีก่อนเพราะอุบัติเหตุทางรถยนต์ก็แทบจะไม่มีใครมาใยดีเขาเลยจะมีก็แต่พี่รหัสอย่างขวัญพนัสนี่แหละที่เอ็นดูเขาราวกับน้องชายแท้ๆ
ส่วนญาติพี่น้องของเขาก็ไม่มายุ่งวุ่นวายกับเขาโชคดีที่พ่อกับแม่ทิ้งเงินประกันชีวิตไว้ให้มากพอที่จะสามารถเรียนจนจบปริญญาตรี แถมที่อยู่อาศัยก็เป็นตึกแถวสองชั้นเก่าๆ ในย่านชุมชนคนจีนที่ตกทอดเป็นมรดกมาจากรุ่นอากงอาม่าจึงทำให้เขาไม่ได้เดือดร้อนอะไรทั้งเรื่องกินเรื่องอยู่เพียงแต่เขาจะจ่ายฟุ่มเฟือยไม่ได้ดังนั้นอะไรประหยัดได้เขาก็ควรประหยัด
ร้านอาหารกึ่งบาร์ใจกลางกรุงเทพฯ เริ่มคึกคักขึ้นเมื่อท้องฟ้าเริ่มเปลี่ยนสีเสียงเพลงอิเล็กทรอนิกส์จังหวะมันๆ ดังกระหึ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง บรรยากาศของร้านเต็มไปด้วยผู้คนจำนวนมากเพราะวันนี้เป็นวันศุกร์ หลังจากวันสอบวันสุดท้ายของอมรกานต์นี่ก็ผ่านไปสี่วันแล้ว ร่างบางของอมรกานต์เดินลงมาจากชั้นสองของร้านที่เป็นโซนห้องวีไอพีเพื่อจะไปเข้าห้องน้ำเพราะหนึ่งชั่วโมงกว่าที่ผ่านมารุ่นพี่และเพื่อนๆ ต่างคณะเข้ามาขอชนแก้วกับเขาไม่ได้หยุด และสาเหตุที่อมรกานต์มาสถานที่แบบนี้ก็เพราะเขาเป็นหนึ่งในสมาชิกสโมสรนักศึกษาของมหาวิทยาลัยจึงถูกนายกสโมสรบังคับมางานเลี้ยงปิดภาคเรียนที่สมาชิกของสโมสรนักศึกษาทุกคณะวิชาที่เคยร่วมกันทำงานตลอดทั้งเทอมมาฉลองกันโดยใช้งบที่ได้จากอาจารย์และพวกรุ่นพี่ปีสี่
ตุบ!!
“โอ้ยย! เดินไม่ดูตาม้าตาเรือเลยลุง”
อมรกานต์ร้องออกมาเสียงดังเมื่อเขาถูกชนเข้าอย่างจังจนล้มลงไปนั่งก้นกระแทกกับพื้น พอเงยหน้าขึ้นไปมองก็พบว่าคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขานั้นตัวสูงใหญ่เกินมาตรฐานชายไทยยืนมองเขาอย่างนิ่งเฉยไม่มีท่าทีคิดจะช่วยเขาเลยสักนิด หน้าตาก็หล่อคมถึงแม้ว่าจะออกไปในทางเชื่อสายจีนแต่ผิวก็ไม่ได้ขาวกระจ่างอย่างเขา และที่สำคัญไร้หนวดบนใบหน้านั้นมันส่งให้คนตรงหน้าดูมีเสน่ห์อย่างล้นเหลือแต่ถ้าใจดำอย่างนี้ก็ไม่ไหวนะ! เพียงไม่นานชายแปลกหน้าก็เลิกคิ้วขึ้นแล้วยื่นมือส่งให้อมรกานต์ราวกับเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าควรจะช่วยแต่มือใหญ่ก็ถูกอมรกานต์ปัดออกด้วยความแรงอย่างไม่ใยดี
“หึ ไม่ต้อง! ฉันไม่อยากเสียเวลามาทะเลาะกับเด็ก” ชายแปลกหน้าท่าทางสุขุมคนนั้นยกมือห้ามลูกน้องที่เดินมาหลังมาไม่ให้เขามาจัดการอมรกานต์ แต่ทว่าสีหน้าและคำพูดที่เพิ่งพูดออกมานั้นทำให้อมรกานต์รู้สึกเหมือนโดนดูถูก
“ใครเด็กพูดให้มันดีๆ นะลุง แล้วนี่เดินมาชนยังไม่คิดจะขอโทษกันบ้างรึไง” อมรกานต์ที่พยุงตัวเองลุกขึ้นมาได้ก็ต่อว่าใส่คนตรงหน้าทันทีอย่างไม่เกรงกลัว
“หึ คำก็ลุงสองคำก็ลุง แล้วไอ้ที่เธอเดินก้มหน้าก้มตาเล่นโทรศัพท์เดินเซเข้ามาขวางทางฉันนี่ฉันควรจะต้องขอโทษใช่ไหม ทีหลังเดินก็ควรจะมองทางสิไม่ใช่มองแต่โทรศัพท์ หึ อย่างนี้แหละที่เด็ก” เขาถามพร้อมกับต่อว่าแล้วเลิกคิ้วสูงมองใบหน้าเด็กน้อยที่กำลังหงิกงอ
“ก็..”
“ไอ้กานต์! ... เออขอโทษด้วยนะครับพอดีเพื่อนผมเมา ขอโทษนะครับ อย่าถือสามันเลยนะครับ” เพื่อนของอมรกานต์ที่ออกมาเข้าห้องน้ำก่อนหน้านี้เห็นเหตุการณ์ทั้งหมดรีบเข้ามาหยุดปากไอ้เพื่อนตัวดี เพราะดูท่าอมรกานต์จะไม่ยอมง่ายๆ ส่วนอีกฝ่ายก็ดูมีอิทธิพลพอตัวสังเกตได้จากลูกน้องที่ใส่ชุดสูทสีดำสามคนที่เดินตามหลัง พอเห็นท่าจะไม่ดีจึงรีบเข้ามาตะครุบปากของเพื่อนเอาไว้ไม่ให้ปล่อยหมาออกมาอีก
“อือออ! .. อื๊ออ” อมรกานต์ที่ถูกเพื่อนตัวใหญ่เอามือมาปิดปากเพื่อไม่ให้พูดก็ดิ้นขลุกขลักพยายามจะส่งเสียงออกมาแต่ก็ไม่ได้ผลเพราะแรงของเพื่อนนั้นมีมากกว่า
“หึ หึ ไม่เป็นไรฉันไม่ถือ นายก็ดูแลเพื่อนนายให้ดีหน่อยก็แล้วกันเดี๋ยวจะเดินเล่นโทรศัพท์ไม่ดูตาม้าตาเรือไปขวางทางใครเขาเข้าอีก”
ชายแปลกหน้าคนนั้นยกยิ้มมุมปากนิ่งๆ ก่อนจะเอ่ยคำพูดที่ทำเอาอมรกานต์ออกแรงดิ้นเพิ่มแต่ก็ไม่เป็นผลจนผู้ชายแปลกหน้าคนนั้นและลูกน้องเดินจากไป
“ไอ้ดินปล่อย! มึงมาปิดปากกูทำไม! ดูดิแม่ง!” อมรกานต์หันมาโวยเพื่อนตัวโตอย่างอารมณ์เสีย
“โห..ไอ้กานต์ ก่อนมึงจะเก่งมึงดูจำนวนคนด้วยว่าฝั่งเขาอะมีกี่ตี! ลูกหมาอย่างมึงถ้ากูไม่เข้ามาห้ามปากหมาๆ ของมึงเอาไว้ป่านนี้มึงโดนลูกน้อยยักษ์สามคนข้างหลังเขากระทืบตามไปแล้ว กูว่าเผลอๆ แม่งมีปืนมาด้วย อย่าห้าวเป้งนักเลยมึง” ดิน หรือ ปฐพี เพื่อนสนิทตั้งแต่สมัยมัธยมปลายที่สอบติดมหาวิทยาลัยเดียวกันแต่อยู่คนละคณะ โชคดีที่พวกเขายังได้เจอกันตอนทำงานสโมสรเอ่ยเตือน
“จิ๊! อารมณ์เสีย!” อมรกานต์ไม่เถียงเพื่อนกลับ เพราะพอฟังสิ่งที่เพื่อนพูดดูเหมือนครั้งนี้เขาจะหัวร้อนเร็วไปหน่อยจนไม่ได้ประเมินสถานการณ์ฝ่ายตรงข้าม
‘ก็มันเจ็บนิใครมันจะใจเย็นไว’ อมรกานต์คิดในใจ “แต่ก็ขอบคุณนะมึงที่เข้ามาช่วย”
“เออ แล้วนี่มึงจะไปไหน”
“ไปเข้าห้องน้ำ มึงกลับไปที่ห้องก่อนเลยไม่ต้องรอ” อมรกานต์พูดบอกเพื่อนของเขาก่อนจะเดินกระฟัดกระเฟียดตรงไปที่ห้องน้ำพร้อมกับตะโกนด่าลุงหน้าหนวดคนนั้นในใจไปตลอดทาง