Ghost Writer (เลิกเป็นผี มาเป็นแฟนกันดีไหม) GL
Ghost Writer (เลิกเป็นผี มาเป็นแฟนกันดีไหม) GL
Boylove-Girllove
anhann5
บ้านหลังนี้มีผี...ใครๆ ก็พูดแบบนั้น แต่ขอโทษทีนะ เธอไม่กลัว เธอจะจับผีมาช่วยเขียนนิยายซะเลย ถ้าผีจะเป็นนักเขียน และสวยขนาดนี้นะ เมื่อไฮโซสาว ย้ายตัวเองจากเมืองหลวงสู่เมืองในชนบท เพราะตั้งใจจะหนีจากแฟนสาวจอมจุ้น และคุณพ่อผู้เป็นไม้เบื่อไม้เมากันมาตั้งแต่เกิด จะด้วยความบังเอิญหรืออะไรไม่ทราบ บ้านหลังที่เธอซื้อมาเพื่อจะมานั่งเขียนหนังสือสงบๆ สักหน่อย ยังมีเจ้าของอยู่และเจ้าของที่ว่านั้นก็ยังไม่ไปไหนด้วย แต่เธอคิดว่าการอยู่ร่วมกันกับเจ้าหล่อนนั้นไม่ได้เลวร้ายอะไรเลย กลายเป็นเธอชอบเสียอีก เพราะเธอไม่กลัวผี แต่ต้องเป็นผีตนนี้เท่านั้นนะจ๊ะ
  • 2 ตอน
  • 627
นิยายโดย
  • 1 เรื่อง
  • |
  • 1 คนติดตาม
บทนำ

เธอยังไม่อยากตาย ยังมีอีกหลายอย่างที่เธออยากจะทำ นิยายอีกหลายเรื่องที่เธออยากจะเขียน แต่โชคร้ายที่ยมทูตไม่ปรานีเธอ พระเจ้าไม่สนใจฟังคำอธิษฐานของเธอ จนกระทั่งเธอได้เจอ...หล่อน



ความมืดโรยตัวมาแล้วโดยรอบ หากหญิงสาวผู้นั่งอยู่ท่ามกลางแสงไฟสีเหลืองนวล มีแสงสีฟ้าสาดใส่หน้าก็หาได้สนใจไม่ เธอยังคงจ้องจอสี่เหลี่ยมเบื้องหน้าที่มีเพียงหน้ากระดาษสีขาวเปล่าๆ ของโปรแกรมเวิร์ดซึ่งมีไว้สำหรับเขียนตัวอักษรอะไรก็ได้ลงไป

หากแต่มันไม่ใช่อะไรก็ได้สำหรับเธอ

มันจะต้องเป็นคำเจ๋งๆ คำที่มีความหมาย!

หญิงสาวคิดในใจอย่างขุ่นเคือง หาใช่เคืองใครไม่ คือเธอคนเดียวที่ควรกล่าวโทษ เธอมันโง่เอง

เธอสะดุ้งเฮือกเพราะเสียงโทรศัพท์ซึ่งลืมไปแล้วว่ามันวางอยู่บนโต๊ะทำงาน ข้างเม้าส์และมือข้างขวา เธอจ้องแสงวูบวาบบนหน้าจออยู่นานเหมือนไม่รู้ว่าควรทำอย่างไรกับมันดี เสียงเรียกเข้าแบบนี้ เธอรู้อยู่แล้วว่าใครโทรมา ไม่จำเป็นต้องดูชื่อที่ปรากฏหราอยู่บนหน้าจอ

“ฮัลโหล...” ในที่สุดเธอก็กดรับมัน

“จูน เธออยู่ที่ไหน!” เสียงนั้นไม่ได้แหลมแสบหู แต่ก็ทำให้เธอต้องยกโทรศัพท์ออกห่างจากหูตัวเอง ถึงอย่างนั้นเธอก็ต้องดึงมันกลับมาฟังต่อ

“อย่าบอกนะว่าอยู่บ้านหลังนั้น”

“ใช่” เธอตอบ ขี้เกียจจะกุเรื่องมาปิดมันแล้ว “ฟลิค นี่มันบ้านฉัน ทำไมฉันจะกลับมาไม่ได้ ฉันจ่ายเงินอยู่ทุกเดือน”

“เธอก็รู้ว่าฉันหมายถึงอะไร”

จูนส่ายหน้า ลืมสนิทว่าอีกฝ่ายไม่เห็น

“ดิ๊พเป็นห่วงเธอมาก เขาบอกว่าไม่อยากให้เธอไปที่นั่น”

“ดิ๊พซี่น่ะเหรอ” เธอย้อนกึ่งหัวเราะ “ดิ๊พซี่ห่วงแต่เรื่องของตัวเองเท่านั้นแหละ ฟลิค พี่ก็รู้”

“เธอก็พูดไป”

จูนกลอกตามองเพดานเมื่อพี่สาวไม่เชื่อเธอ “งั้นตอนนี้เขาอยู่ไหน ให้มาคุยหน่อยสิ”

“ไม่ได้อยู่กับฉัน”

“รู้อยู่แล้วแหละ” จูนพูด “งั้นแค่นี้นะ”

เธอวางสายก่อนฟลิคจะทันได้บ่น กลัวพี่จะโทรมาอีก เธอจึงปิดเสียงเรียกเข้าไว้ ปล่อยให้มันสั่นเฉยๆ และคว่ำหน้าไว้ด้วย

ด้วยความเซ็งกับโทรศัพท์เมื่อครู่ ประกอบกับหน้าเวิร์ดที่ว่างเปล่า จูนจึงบิดขี้เกียจแล้วลุกขึ้นเหยียดแข้งเหยียดขา เดินไปเปิดผ้าม่านหน้าต่างดูเหตุการณ์ภายนอกบ้าน มันเงียบและมืดมากสมควรแล้วที่ดิ๊พซี่จะกลัว เธอจะไปโทษเจ้าหล่อนก็ไม่ได้ บ้านหลังนี้มันดูร้างจนน่ากลัวจริงๆ แถมยังห่างไกลจากบ้านเพื่อนบ้านตั้งมากด้วย เธอเป็นผู้หญิงอยู่ตามลำพัง ถึงจะมีปุ่มฉุกเฉินที่เรียกตำรวจได้โดยตรง กว่าพวกเขาจะมาก็คง...

จูนส่ายหน้าให้ตัวเอง สลัดความคิดไม่เข้าท่าออกไป พอดีกับเธอได้ยินเสียงโทรศัพท์บนโต๊ะทำงานสั่น เธอไม่อยากรับสายใครทั้งนั้น แต่ถ้าไม่รับก็คงจะโดนจิกต่อไปไม่จบไม่สิ้น เธอเดินกลับมาหยิบมันขึ้นดู โล่งใจที่ไม่ใช่คนที่เธอคิด

“จูน นี่นาตาเลีย”

“ค่ะ ฉันรู้” เธอตอบ เสยผมระบายอารมณ์ “ขอโทษจริงๆ ค่ะ”

“ไม่เป็นไรค่ะ ฉันเข้าใจ” นาตาเลียตอบ เสียงสงบนิ่งทำให้จูนรู้สึกผิดน้อยลง “ฉันแค่โทรมาเช็กดูว่าคุณอยู่ที่นั่นเป็นยังไงบ้าง”

“หมายถึงอะไรคะ” จูนถามกลับ แปลกใจว่าทำไมถึงมีแต่คนห่วงเธอเรื่องนี้ “คุณจะถามว่าฉันเจออะไรแปลกๆ หรือเปล่าเหรอคะ”

นาตาเลียเงียบไป คล้ายกำลังหาคำพูดอยู่ ทำให้จูนมีเวลาคิดว่าเธอได้ยินอะไรมาบ้างกับบ้านหลังนี้ที่เธอซื้อมาโดยไม่ได้ดูตาม้าตาเรือ ด้วยราคาที่เหมือนได้เปล่า

เพราะเจ้าของตายที่นี่ ในห้องนี้แหละ!

“ฉันไม่กลัวผีค่ะ ถ้าคุณจะถามเรื่องนั้นนะ” จูนพูด อีกฝ่ายส่งเสียงเหมือนตกใจ “ที่ไหนก็มีผีทั้งนั้นแหละค่ะ คุณจะรู้ได้ยังไงว่ามันไม่มี ทุกที่ก็มีประวัติกันทั้งนั้น”

“แต่ว่าเขาบอกว่าที่นั่นเฮี้ยนนะคะ”

“นาตาเลียคะ ฉันซื้อมันมาแล้ว” เธอพูดแทรก เสียงอ่อนใจ “ไม่มีอะไรแล้วใช่ไหมคะ ฉันขอตัวไปทำงานก่อนนะ”

“คุณคิดงานออกแล้วเหรอ จูน”

จูนชะงัก หน้าชาเหมือนโดนนาตาเลียตบ เธอเหลือบมองหน้าจอแล็ปท็อปอันว่างเปล่าของตัวเอง เธอจะตอบว่าอย่างไรดี พูดความจริงไปอย่างนั้นเหรอ

“ไม่เป็นไรค่ะ ฉันไม่กวนคุณดีกว่า ตั้งใจทำงานนะคะ”

“ค่ะ แล้วคุยกันนะคะ” หญิงสาววางสายก่อนที่อีกฝ่ายจะทันได้พูดอะไรอีก เธอรู้สึกเคว้งคว้าง หากหางตาสะดุดกับเครื่องเล่นแผ่นเสียงที่เจ้าของเก่าทิ้งเอาไว้ ตู้เก็บของก็เต็มไปด้วยแผ่นเสียงที่ส่วนใหญ่เป็นเพลงแจ๊ซและดนตรีคลาสสิก

“ฉันอยากรู้จักคุณจัง” จูนพึมพำกับแผ่นเสียง “คาเร็น ใช่ไหมนะ”

“คาเร็น คีแกน”

เสียงที่ไม่ใช่ของเธอดังขึ้นราวกับเป็นคำตอบให้กับคำถามของเธอ จูนไม่เคยเชื่อเรื่องผีสาง เธอไม่เคยกลัว เพราะเธอไม่เคยเห็น เธอคงจะไม่มีเซ้นส์ด้านนั้นเหมือนดิ๊พซี่ รายนั้นชอบบอกว่าเจอนู่นนี่ทุกทีเวลาเราไปไหนด้วยกัน แต่เธอคิดว่าดิ๊พซี่คงจินตนาการไปเองมากกว่า และเวลาที่ใครๆ ถามว่าเธอกลัวผีไหม เธอก็มักจะตอบไปแบบที่เธอตอบนาตาเลีย

“คุณได้ยินเสียงฉันเหรอ”

เสียงเดิมดังขึ้นอีกครั้ง จูนมองหาที่มาของมัน ชะโงกมองไปนอกหน้าต่างก็ไม่มี มองเท่าไหร่ก็ไม่เห็นใคร เธอกำลังเอ่ยถามกับอากาศ หากโทรศัพท์มือถือในมือเธอก็สั่นขึ้นมาขัดจังหวะ เธอกดรับสายโดยไม่ได้ดูว่าใครโทรมา เพราะใจจดจ่อแต่กับเสียงนั้น

“จูน ทำไมเธอไม่เชื่อฉันบ้างนะ”

“ดิ๊พซี่”

“ใช่ เธอผิดหวังเหรอที่เป็นฉันน่ะ ต้องเป็นคุณนาตาเลียคนสวย บอกอของเธอใช่ไหม”

จูนกลอกตา ท่าทางชีวิตการทำงานของเธอจะถึงทางตันเสียแล้ว เขียนหนังสือไม่ได้ แถมแฟนก็ยังตามอาละวาดอีกด้วย

“โอเค ฉันขอโทษ” ดิ๊พซี่เปลี่ยนท่าทีเร็วจนเหลือเชื่อ แต่สำหรับจูน เธอชินกับผู้หญิงคนนี้แล้ว ยายตัวเล็กเป็นแบบนี้ตั้งแต่แรกคบกัน และที่จริงเธอควรจะดีใจไม่ใช่หรือ ที่ผู้หญิงมีหน้าที่การงานดีขนาดนี้เมินผู้ชายไฮโซด้วยกัน มาเอานักเขียนตกอับอย่างเธอ

“ฉันผิดเองแหละ ดิ๊พ” จูนพูด “พรุ่งนี้ฉันจะกลับลอนดอน”

“จริงเหรอ” ดิ๊พซี่ถาม เสียงดีใจอย่างปิดไม่มิด “กลับมาจริงๆ นะ”

“จริงสิ ฉันจะอยู่กับเธอสองสามวัน แล้วจะกลับมาทำงาน”

“ทำไม -- ไม่ ช่างเถอะ สองสามวันก็ได้”

จูนยิ้มเฝื่อนๆ เธอรู้ว่าดิ๊พซี่จะพูดอะไร ใจจริงคงอยากจะอาละวาดเธอเต็มแก่แล้วแน่ๆ แต่คงกลัวเธอจะเปลี่ยนใจอีก

“งั้นให้ฉันไปรับไหม”

“ไม่เป็นไร รถฉันเก่าแต่ยังขับได้อยู่” จูนพูด เผลอประชดอีกฝ่ายที่รายได้ดีกว่าและมั่นคงมากกว่าเธอ แต่คราวนี้เธอไม่สนใจจะแก้ตัว “จริงๆ ดิ๊พ ฉันไปเองได้ เธอไม่ต้องลำบากหรอก ฉันรู้ว่าเธอไม่อยากมาที่นี่”

“โอเค แล้วเจอกัน รักเธอนะ จูน”

“เหมือนกัน” เธอตอบเสียงเบา ขาดความมั่นใจ ไม่แน่ใจว่าเพราะตัวเองที่รู้สึกไร้ค่าเพราะทำงานไม่ได้หรือเพราะนิสัยเอาแต่ใจแบบคุณหนูของดิ๊พซี่ แต่อีกฝ่ายคงไม่สังเกต และตอนนี้ก็วางสายไปแล้วเรียบร้อย

จูนถอนหายใจ เดินกลับมานั่งเก้าอี้หลังโต๊ะทำงาน มองจอเวิร์ดอันว่างเปล่าด้วยสายตาเจ็บปวด ประมาณสิบนาที เธอก็ปิดแล็ปท็อป ปิดโคมไฟ ลุกขึ้นอย่างห่อเหี่ยวและเดินออกจากห้องทำงาน ปิดประตูตามหลัง

“ทำไมคุณถึงมองไม่เห็นฉัน” เสียงหนึ่งดังขึ้นในความมืดพร้อมกับร่างโปร่งแสงของหญิงสาวในสเวตเตอร์สีครีมไข่กับกางเกงผ้าฝ้าย

“แต่คุณได้ยินเสียงฉันใช่ไหม จูน” เธอพึมพำด้วยความหวังอันริบหรี่ และความรู้สึกเดียวดาย หญิงสาวถอนหายใจ หากแม้นเธอจะมีมัน เธอเดินไปนั่งลงบนเก้าอี้ที่จูนเพิ่งทิ้งมันไป มองแล็ปท็อปที่ปิดฝาสนิทบนโต๊ะอย่างชั่งใจ แล้วลองยื่นมือจะไปแตะมันดู มือเรืองแสงของเธอก็วาดผ่านมันไปอย่างไม่ต้องสงสัย แล้วทำไมเธอยังนั่งเก้าอี้ได้ล่ะ

“ฉันอยากเขียนหนังสือ” เธอพูด สะอื้นอยู่ในความมืดตามลำพังก่อนจะเลือนหายไป



เกี่ยวกับนักเขียน
1 เรื่อง 1 คนติดตาม