สถาปนิกหนุ่มหล่อเชื้อสายไทย อเมริกัน กำลังขับรถออกจากตัวเมืองใหญ่มุ่งหน้าเข้าสู่เขตต่างจังหวัด ระหว่างทางสังเกตว่าน้ำมันรถใกล้จะหมดเต็มทีจึงหันหัวรถเลี้ยวเข้าจอดปั๊มใหญ่ข้างทาง ขณะกำลังรอเติมน้ำมันอยู่นั้นพลันสายตาก็เหลือบไปเห็นหญิงสาวผู้หนึ่งเดินออกมาจากห้องน้ำด้วยท่าทางอิดโรย เธอเอามือกุมท้องและนั่งตัวงออยู่ที่ม้านั่งหน้ามินิมาร์ท ของปั๊ม ผู้คนผ่านไปมามองเธออย่างแปลกใจ แต่ไร้คนถามไถ่จริงจัง สักครู่เธอพยายามทรงตัวลุกขึ้นเดินเพื่อจะไปยังรถยนต์เล็กสีขาวที่จอดอยู่
ทันใดนั้นเองเธอก็ล้มฟุบลงไปกองกับพื้น มีเสียงคนเอะอะเข้าไปมุงดู ชายหนุ่มเติมน้ำมันเสร็จก็เคลื่อนรถออกหลีกทางให้รถคันอื่น ตั้งใจว่าจะขับออกไปเลย คิดว่าเดี๋ยวก็คงมีคนนำตัวเธอส่งโรงพยาบาล แต่เปล่าเลยเขาเห็นคนกลุ่มนั้นยังคงมุงดูเธออยู่โดยปราศจากการช่วยเหลือใด ๆ ชายหนุ่มตัดสินใจหยุดรถและเดินตรงไปยังร่างหญิงสาวที่นอนนิ่งอยู่ทันที
“หลีกทางหน่อยครับ” พูดพลางเบียดตัวเข้าไป
“มีใครพอจะช่วยอะไรเธอได้บ้างไหมครับ”
“ใครก็ไม่รู้ เป็นอะไรก็ไม่รู้ ใครจะกล้าช่วยล่ะ” คนพูดเป็นชายรูปร่างท้วมวัยกลางคน เขาหันมามองฝรั่งตัวโตด้วยท่าทางแปลกใจ
“เรียกตำรวจไหมคุณ” ผู้หญิงคนหนึ่งเอ่ยถาม
“เรียกรถพยาบาลดีกว่าไหม” อีกคนหนึ่งแย้ง “ใครมีเบอร์เรียกรถพยาบาลให้หน่อยสิ”
“ตังค์ในโทรศัพท์ฉันหมดพอดีเลย” เธอผู้นั้นปฏิเสธหน้าตาเฉย
ภูผาเห็นแต่ละคนมัวแต่เกี่ยงกันไปมา ถ้าไม่รีบช่วยเหลือหญิงสาวตรงหน้าเขาอาจเสียชีวิตก็เป็นได้
“ถ้างั้นทุกคนช่วยหลีกทางผมหน่อยนะครับ” ชายหนุ่มตรงเข้าไปอุ้มร่างบอบบางที่ไม่รู้สึกตัวนั้น พาไปนั่งที่ม้านั่งตัวเดิมพลางเขย่าตัวให้ฟื้นแต่คนป่วยยังหลับตานิ่ง
“แถวนี้พอจะมีโรงพยาบาลอยู่ใกล้ ๆ บ้างไหมครับ”
“ก็มีนะ ห่างจากนี่ไปหน่อยเดียว” เด็กปั๊มคนหนึ่งตอบ
ชายหนุ่มจัดแจงเก็บกระเป๋าและสัมภาระของเธอทั้งหมด เขาควานหากุญแจรถจากกระเป๋าของเธอ และจัดการกดล็อกรถพลางร้องสั่งเด็กปั๊มว่า
“ผมฝากรถของผู้หญิงคนนี้หน่อย เดี๋ยวผมจะพาเธอไปส่งโรงพยาบาล” ชายหนุ่มอุ้มร่างที่ยังไม่ได้สตินั้นไปขึ้นรถและขับตรงไปยังโรงพยาบาลที่ว่าทันที
“นี่แก ผู้ชายคนนั้นจะพาผู้หญิงนั่นไปส่งโรงพยาบาลจริงรึเปล่าวะ” พนักงานขายของในร้านมินิมาร์ทถามเด็กปั๊ม
“ไม่รู้โว้ย ก็คงจะจริงมั้ง อยากรู้แกก็ลองถามตอนเขากลับมาเอารถสิ”
“ต๊าย! แกไม่น่าเชื่อนะว่าจะยังมีอัศวินขี่ม้าขาวสุดหล่ออยู่บนโลกใบนี้จริง ๆ” หญิงสาวอีกคนทำตาชวนฝัน
“นับว่าผู้หญิงคนนั้นยังโชคดี…เฮ้ย! แล้วถ้าผู้ชายคนนั้นพาผู้หญิงไปทำอะไรมิดีมิร้ายจะทำยังไงวะแก” เด็กปั๊มผู้ชายเอ่ยขึ้นสีหน้าตกใจกับการจินตนาการของตัวเอง
“คงไม่หรอกมั้ง ท่าทางเขาออกจะดูเป็นคนดี แต่ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง ๆ ก็เป็นโชคร้ายของผู้หญิงคนนั้นเอง” หญิงสาวในร้านมินิมาร์ทยักไหล่ แล้วหันกลับเข้าร้านไป ทุกคนต่างก็แยกย้ายไปประจำหน้าที่ของตัวเองเช่นเดิม
ชายหนุ่มคอยชำเลืองมองหญิงสาวที่ยังไม่ได้สติ สีหน้าซีดเผือด เนื้อตัวเย็นชืดเขาสัมผัสได้จากตอนที่อุ้มเธอมาขึ้นรถ นี่เธอป่วยเป็นอะไร จะถึงกับเสียชีวิตไหมหนอยิ่งคิดยิ่งร้อนใจ เขาขับรถเลี้ยวเข้าโรงพยาบาลตรงไปแผนกฉุกเฉินทันที บุรุษพยาบาลเข็นเตียงเคลื่อนที่นำร่างของเธอเข้าห้องฉุกเฉินไปพร้อมกับนางพยาบาลสองคน
เขาตัดสินใจจอดรถไว้ที่โรงพยาบาลและจ้างวินมอเตอร์ไซด์ ให้ขับพาเขาไปส่งที่ปั๊มเพื่อนำรถของหญิงสาวมาจอดที่โรงพยาบาลเพราะจะปลอดภัยกว่า อีกอย่างถ้าเธอฟื้นขึ้นมาก็จะได้ไม่ต้องเป็นห่วงรถ เขาจำเป็นต้องรีบไปทำธุระต่อเสียด้วย แต่อีกใจก็อดนึกเป็นห่วงหญิงสาวไม่ได้ ผู้หญิงตัวคนเดียวแบบนี้คงรู้สึกเคว้งคว้างน่าดูเมื่อฟื้นขึ้นมาแล้วพบตัวเองนอนอยู่โรงพยาบาลเพียงลำพัง ชายหนุ่มตัดสินใจค้นหาโทรศัพท์ของเธอและหวังจะโทรหาเบอร์ใครสักคนในเครื่อง ก็พอดีเห็นสายที่โทรเข้ามาแล้วไม่ได้รับ
“ โชคดีไม่มีรหัสล็อกหน้าจอ...งั้นโทรหาคนนี้คงได้เรื่อง” ชายหนุ่มพึมพำแตะเบอร์โทรศัพท์ตรงชื่อ ‘ยัยนิ’ เสียงปลายสายต่อว่าทันที
“นี่หล่อน เมื่อไรจะมารับฉันซะทียะ รอจนเหงือกแห้งแล้ว โทรไปก็ไม่รับ”
“เอ่อ...คือ ตอนนี้เจ้าของโทรศัพท์ไม่สบาย อยู่ที่โรงพยาบาลนะครับ”
“อะไรนะ แล้วคุณเป็นใคร ทำไมเอาเบอร์เพื่อนฉันโทรมาได้ แล้วเพื่อนฉันอยู่ที่ไหน” ปลายสายรัวถามเป็นชุด
“ใจเย็น ๆ ก่อนคุณ ผมเป็นคนพาเธอมาส่งโรงพยาบาล แล้วกำลังคิดว่าจะติดต่อญาติเธอยังไงดี ก็บังเอิญเห็นเบอร์ของคุณโทรเข้ามา ผมก็เลยโทรหาคุณนี่แหละ” ชายหนุ่มบอกชื่อโรงพยาบาลแก่ปลายสาย หล่อนขอร้องให้เขาเฝ้าคนป่วยอยู่ก่อน เพราะต้องใช้เวลาเกือบครึ่งชั่วโมงกว่าจะถึงโรงพยาบาล
เขาจำใจนั่งรออย่างกระวนกระวาย เหตุเพราะเขาต้องรีบไปทำธุระต่อ แต่จะทิ้งเธอไว้ก็กระไรอยู่ ยอมผิดนัด คงยังดีกว่าทิ้งคนป่วยไว้ตามลำพัง
“ใครเป็นญาติคนป่วยคะ” นางพยาบาลคนหนึ่งโผล่หน้ามาจากประตูห้องฉุกเฉิน
“เอ่อ...ผมเองครับ แต่ผมไม่ใช่ญาติ ผมเป็นคนพาเธอมาส่งเฉย ๆ ครับ”
“ตอนนี้คนป่วยอาการดีขึ้นแล้วนะคะ แต่ยังอ่อนเพลียมาก เธอช็อกเนื่องจากร่างกายขาดน้ำอย่างรุนแรงและกะทันหัน ต้องนอนโรงพยาบาลดูอาการก่อน ไม่ทราบว่าคุณ พอจะติดต่อญาติคนป่วยได้หรือเปล่าคะ” นางพยาบาลสบตาเขารอฟังคำตอบ
“ผมติดต่อเพื่อนของเธอให้แล้วครับ เดี๋ยวคงมาถึง ผมฝากเธอด้วยนะครับ ผมต้องรีบไปทำธุระ”
“เดี๋ยวก่อนค่ะคุณ ไม่ทราบคุณชื่ออะไรคะ แล้วคุณจะไม่เข้าไปเยี่ยมคนไข้หน่อยเหรอคะ”
“ไม่ดีกว่าครับ ให้เธอพักผ่อนเถอะ ช่วยบอกคนไข้ด้วยนะครับว่า ผมติดต่อเพื่อนเธอให้แล้ว รอสักครู่ ผมต้องรีบไปทำธุระก่อน ฝากคุณพยาบาลด้วยนะครับ” ชายหนุ่มไปจัดการเรื่องห้องให้หญิงสาว แล้วฝากกระเป๋าไว้กับนางพยาบาลให้นำไปให้เธอด้วย เขาต้องรีบไปทำธุระจริง ๆ อีกอย่างเพื่อนของเธอคงใกล้มาถึงแล้ว
“เดี๋ยวก่อนค่ะคุณ ไม่ทราบคุณชื่ออะไรคะ เผื่อคนไข้ถามดิฉันจะได้บอกเธอได้”
“ไม่จำเป็นหรอกครับ เพราะผมกับเธอคงไม่มีโอกาสได้เจอกันอีกแล้ว ผมไปก่อนนะครับ” ชายหนุ่มก้มศีรษะ
น้อย ๆ เป็นเชิงขอตัว นางพยาบาลสาวมองตามร่างสูงสง่านั้นไป
“แล้วถ้าคนไข้ถามจะบอกคนไข้ว่ายังไงดี คนดีแบบนี้หายากจริง ๆ” พยาบาลสาวสองคนคุยกันอย่างชื่นชม
“ดูท่าทางเขารีบร้อน คงไม่ใช่คนร้ายรีบหนีตำรวจหรอกใช่ไหม”
“ไม่หรอกมั้ง เขาบอกว่ามีธุระ ถ้าเป็นคนร้ายจริงคงเตลิดหนีไปนานแล้ว ไม่รออยู่เป็นนานสองนานหรอก”
ชายหนุ่มเดินออกมาจากตึกผู้ป่วยอย่างรีบร้อนไม่ทันได้ระวังจึงชนกับหญิงสาวคนหนึ่งเข้าอย่างจัง เธอเซจนเกือบล้มโชคดีที่เขามือไวคว้าตัวเธอไว้ทัน
“ขอโทษครับ ผมรีบเลยไม่ทันได้มอง คุณเป็นอะไรมากรึเปล่าครับ” เขาถามสีหน้าดูเป็นกังวล
“ไม่เป็นไรค่ะ” หญิงสาวแปลกใจคิดว่าเป็นหนุ่มต่างชาติพูดไทยไม่ได้เสียอีกแต่กลับส่งสำเนียงไทยชัดเจน
“ถ้าอย่างงั้น ผมขอตัวก่อนนะครับ” ชายหนุ่มรีบร้อนเดินจากไป หญิงสาวมองตามร่างสูงมาดแมนนั้นไปอย่างประทับใจ สีหน้าเคลิบเคลิ้ม
“ผู้ชายอะไร หล่อแล้วยังสุภาพอีก” หญิงสาวทำตาหวานซึ้งชวนฝัน
กณิกาเข้าไปติดต่อห้องประชาสัมพันธ์เพื่อสอบถามอาการและห้องพักของเพื่อน รวมไปถึงพลเมืองดีคนที่ช่วยเหลือเพื่อนเธอ
“เอ่อ...ดิฉันถามชื่อแต่ว่าเขาไม่ยอมบอกค่ะ รู้แต่ว่าน่าจะเป็นลูกครึ่ง ตัวสูง ๆ ขาว ๆ เพิ่งเดินออกไปเมื่อสักครู่นี่เองค่ะ ว่าแต่คุณไม่สวนทางกันเหรอคะ” นางพยาบาลเอ่ยถาม แววตาสงสัย
“ลูกครึ่ง ตัวสูง ๆ ขาว ๆ” กณิกาทบทวนความทรงจำสีหน้าระลึกได้ “สงสัยเป็นคนที่เดินชนกับฉันเมื่อครู่นี้แน่เลยค่ะ คนที่ใส่เสื้อเชิ้ตแขนยาวสีฟ้าอ่อนใช่ไหมคะ”
“ใช่ค่ะ” พยาบาลตอบสีหน้ายิ้มแย้ม
“แล้วเขาได้บอกชื่อไว้ไหมคะหรือเบอร์โทรศัพท์ก็ได้ฉันจะโทรไปขอบคุณเขาเสียหน่อย”
“ไม่มีเลยค่ะ เราถามแล้วแต่เขาไม่ยอมบอกค่ะ บอกแต่ว่าคงไม่มีโอกาสเจอกันอีกแล้ว”
“ถ้างั้นขอบคุณนะคะ” กณิกากล่าวขอบคุณ ในใจก็นึกเสียดายที่ไม่สามารถรู้รายละเอียดของพลเมืองดีคนนั้นได้