แสงแดดอ่อน ๆ ยามสายส่องประกายระยิบระยับเหนือลำน้ำที่ทอดยาว ขนานกับผืนดินแปลงใหญ่กินอาณาบริเวณกว้างขวาง เป็นที่ตั้งของเรือนไทยทรงประยุกต์หลังใหญ่โอ่อ่าสร้างจากไม้สักทอง หลังคาทรงจั่วสูง ชายคายื่นยาวซึ่งเรียกกันว่า ‘ทรงมนิลา’ ช่วยบรรเทาความร้อน ตัวเรือนยกพื้นสูงเพื่อป้องกันน้ำท่วม เพราะตั้งอยู่ติดริมแม่น้ำเจ้าพระยา
ห่างจากตัวเรือนไปไม่ไกล เป็นทางหินกรวดปูลาดไปถึงหน้าบันไดไม้สองขั้นเตี้ย ๆ ซ้ายขวาประดับด้วยตุ๊กตาหินทรายรูปเด็กผู้หญิงมัดจุกยิ้มแย้มต้อนรับตรงเชิงบันไดทั้งสองด้าน ก่อนเข้าสู่ตัวศาลาไม้ทรงโปร่งสูงเปิดสี่ด้าน ยกพื้นไม้เล่นระดับ ปูหลังคาด้วยกระเบื้องว่าวดินเผาสีเขียวกลมกลืนไปกับธรรมชาติ
นอกจากศาลานี้จะมีพื้นที่กว้างขวางแล้ว ยังมีเปลชิงช้า ซึ่งมักถูกใช้เป็นมุมพักผ่อนร่วมกันของสมาชิกครอบครัว ในยามเย็นบรรดาผู้ใหญ่มักจะมานั่งมองเด็ก ๆ เล่นกิจกรรมโปรด ทั้งว่ายน้ำ หรือกระโดดน้ำผาดโผนกันโครมครามจากตรงท่าน้ำนี้ด้วยความสนุกสนาน
หากแต่บรรยากาศแห่งความรื่นรมย์ในวันนี้กลับเปลี่ยนไป เพราะมีร่างเล็กของเด็กสาวสองคนกำลังพากันตะเกียกตะกายอยู่กลางคุ้งน้ำ กอบัวที่เบ่งบานอยู่รายรอบ ปกติเคยให้ความรู้สึกงดงามน่าชื่นชมเสมอ ยามนี้กลับกลายเป็นอุปสรรคที่กำลังจะนำพาอันตรายถึงแก่ชีวิตมาให้
สองใบหน้าเล็กซึ่งมีประพิมพ์ประพายเดียวกันต่างซีดขาวแสดงถึงความตื่นตระหนก ร่างกายของเด็กสาวผู้เป็นพี่นั้นลอยตัวซ้อนอยู่ด้านหลัง ประคับประคองศีรษะของคนน้องให้ลอยพ้นน้ำ แต่อาการดิ้นรนที่อ่อนแรงลงเรื่อย ๆ ของผู้เป็นน้องบอกให้รู้ว่า คงเหลือเวลาไม่มากนัก
“รดา!!! อดทนไว้นะ เดี๋ยวสิตาจะลองอีกที” น้ำเสียงร้อนรนเอ่ยกำชับน้องสาว
ศุภรดาตั้งสติตามคำพูดของพี่สาว ขาข้างที่เป็นอิสระพยายามกระทุ้งน้ำอย่างยากลำบาก เพื่อสลัดตัวออกพ้นจากสายบัวที่รัดขาอีกข้างเอาไว้แน่น
เมื่อคนน้องเริ่มอ่อนแรงลง เด็กสาวผู้พี่ที่กำลังพยายามประคองร่างของอีกฝ่ายจำต้องตัดสินใจทำอะไรสักอย่าง ดวงตากลมโตสองคู่สบประสานอย่างแน่วแน่ ดุจกำลังส่งคำมั่นสัญญาว่าจะไม่มีวันทอดทิ้งกัน
ศุภสิตาสูดอากาศเข้าปอดเฮือกใหญ่เป็นครั้งสุดท้าย ก่อนทิ้งกายดำดิ่งลงใต้น้ำเพื่อปลดสายบัวที่พันธนาการร่างของน้องสาวเอาไว้
เวลาผ่านไปชั่วครู่ใหญ่ ศุภรดาเริ่มรู้สึกได้ว่าขาข้างที่ถูกรัดพันไว้ถูกปล่อยเป็นอิสระ แต่ความดีใจกลับต้องแปรเปลี่ยนเป็นอาการตื่นตระหนก เมื่อดวงหน้าเล็กหันซ้ายหันขวา ทว่ากลับไม่พบคนที่มองหา
เสียงร้องตะโกนอย่างขวัญเสียเรียกหาแฝดผู้พี่ ซึ่งควรจะว่ายขึ้นมาเหนือน้ำทันทีที่ช่วยให้เธอหลุดจากพันธนาการได้แล้ว
“สิตา!! สิตาจ๋า!! สิตาอยู่ไหน ฮือออ...”
ใบหน้าซีดขาว น้ำตาไหลพรากด้วยความหวาดหวั่น ร่างเล็กพยายามแหวกว่ายไปทั่วบริเวณนั้นด้วยเรี่ยวแรงที่เหลืออยู่เพียงน้อยนิด ก่อนตัดสินใจดำน้ำลงไปอีกครั้ง
มือเล็กกวาดควานไปทั่วใต้น้ำที่เจือไปด้วยโคลนขุ่น จวบจนสัมผัสโดนแพผมที่ปัดผ่านปลายนิ้ว เธอจึงกลั้นใจเฮือกหนึ่ง ถีบเท้าดันร่างให้ดำลึกลงไปอีกด้วยความหวัง
ความยินดีแล่นปราดเมื่อจับเจอชายเสื้อของคนที่ค้นหา เธอจึงเอื้อมออกไปสุดแขนแล้วคว้าเสื้อไว้แน่นเต็มกำมือ พร้อมกับออกแรงกระชากร่างของอีกฝ่ายมากอดไว้ ก่อนถีบขาเพื่อดันตัวของทั้งคู่ขึ้นสู่ผิวน้ำ
ศุภรดาใช้มือพยุงร่างไร้สติของพี่สาวให้นอนหงายหน้าลอยตัว แม้จิตใจจะไม่ยอมแพ้ แต่พลังกายนั้นลดน้อยถอยลงเรื่อย ๆ ล้วนเป็นผลที่เกิดจากการดิ้นรนอยู่ในน้ำเป็นเวลานาน ทำให้ริมฝั่งที่เห็นห่างออกไปเพียงไม่กี่ช่วงแขน เวลานี้กลับดูไกลจนเกินกำลังจะไปถึงได้
อาการปวดร้าวจากจุดเดิมบนน่องซ้าย เริ่มแผ่ลามรุนแรงขึ้นในชั่วเวลาอันสั้น บั่นทอนกำลังและความพยายามสุดท้ายของเด็กสาวในการเอาชีวิตรอด
ความเจ็บแน่นในโพรงอกบ่งชัดถึงการประท้วงของร่างกายเมื่อขาดออกซิเจน พานให้หัวใจเต้นอ่อนแรงลงทุกขณะ แขนเล็กทั้งคู่สามารถแหวกว่ายพาตนเองเข้าฝั่ง แต่กลับไม่ยอมละออกจากกายของพี่สาว นิ้วมือของทั้งสองเกี่ยวกันแน่น ประดุจคำสัญญาว่าจะไม่ยอมพรากจาก แม้ยามร่างกายหมดแรง ก่อนจะค่อย ๆ จมลงสู่ผืนน้ำเบื้องล่าง...พร้อม ๆ กัน
แว่วเสียงตะโกนโหวกเหวก และเสียงกรีดร้องของผู้หญิงที่ดังมาแต่ไกล คือสิ่งสุดท้ายในอนุสติอันเลือนลางของศุภรดา ก่อนที่ความมืดมิดจะเข้าครอบงำ