ระรินรัก
บทนำ
เสียงเพลงบรรเลงแว่วหวานดังไปทั่วโบสถ์ที่ตกแต่งอย่างสวยงาม ผู้คนที่เข้าร่วมในงานต่างก็มีสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส พูดคุย หัวเราะกันเสียงเบา เนื่องจากพิธีการต่างๆ ยังไม่ได้เริ่ม คนที่เพิ่งเข้ามาในงานต่างก็มองหาที่นั่ง หรือไม่ก็มองหาเพื่อนสนิท หรือคนรู้จักกันก่อนที่จะเข้าไปร่วมกลุ่ม เจ้าบ่าวสุดหล่อที่ยืนอยู่ด้านหน้าพิธีดูมีสีหน้าตื่นเต้น และมีความสุขที่ในวันนี้จะได้อยู่กับคนที่ตนเองรักสักที
จังหวะเพลงที่เปลี่ยนไป ทำให้บรรดาผู้คนที่กำลังพูดคุยกันอยู่ต่างพากันเงียบเสียงก่อนจะพากันลุกขึ้นยืน ซึ่งเป็นจังหวะเดียวกันกับที่ประตูโบสถ์ถูกเปิดออก พร้อมกับเหล่านางฟ้าและเทวดาตัวน้อยจำนวน 6 คน ต่างพากันเดินนำขบวนเจ้าสาวเข้ามา โดยพากันโปรยกลีบกุหลาบสีแดงแสนสวยไปตลอดทาง แสงอาทิตย์แสนสดใสที่สาดส่องเข้ามาภายในโบสถ์ ทำให้ผู้ร่วมงานต่างหรี่ตามอง ก่อนที่จะเบิกตากว้างด้วยความตกตะลึงกับความสวยของเจ้าสาว และชุดแต่งงานที่งดงามอลังการด้วยเม็ดคริสตัลที่ปักอยู่บนตัวชุดหลายร้อยเม็ด ส่งผลให้แสงที่ตกกระทบบนคริสตัลเปล่งประกายระยิบระยับงามจับตา ไม่เพียงแต่ผู้ร่วมงานเท่านั้นที่อยู่ในอาการตกตะลึง หากแต่ตัวเจ้าบ่าวเองก็ยืนนิ่งไม่ขยับเขยื้อนเช่นกัน จนกระทั่งเจ้าสาวและพ่อของเจ้าสาวเดินมาถึงด้านหน้าพิธี เขาถึงได้รู้สึกตัวและมองเจ้าสาวด้วยสายตาที่ฉายแววถึงความรักใคร่ ก่อนจะยื่นมือไปรับเจ้าสาวจากพ่อของเธอ
“ขอบคุณมากนะครับคุณพ่อ ที่ไว้ใจให้ผมได้รักและดูแลวิ ผมสัญญาว่าจะดูแลวิให้ดีที่สุดเท่าที่ผมจะทำได้ครับ” ชายหนุ่มพูดเสียงเบาแต่หนักแน่นมั่นคง ทำให้พ่อของฝ่ายหญิงพยักหน้าให้ และตบบ่าของชายหนุ่มเบาๆ แล้วบีบกระชับแน่นอย่างเชื่อใจในคำสัญญาของว่าที่ลูกเขย ก่อนจะปล่อยมือแล้วเดินกลับไปนั่งที่ข้างภรรยาของเขา ชายหนุ่มหันมาจับมือของคนรักแล้วหันไปหาศาสนาจารย์ที่ยืนอยู่ด้านหน้า เพื่อเริ่มพิธีที่สำคัญที่สุดในชีวิตของเขาและเธอ
ศาสนาจารย์กระแอมไอเล็กน้อย ทำให้ผู้ร่วมงานที่ยืนอยู่ต่างก็พากันนั่งลง แล้วศาสนาจารย์ก็เริ่มกล่าว
“นายธิตินัย คณานุคุณ ท่านจะรับนางสาววิลาสิณี เอื้อพินิจ เป็นภรรยาและสัญญาว่าจะซื่อสัตย์ต่อเธอทั้งในยามสุขและยามทุกข์ ในยามมั่งมีและยากจน จะรักและยกย่องให้เกียรติเธอจนกว่าชีวิตจะหาไม่หรือไม่”
“รับครับ” ชายหนุ่มกล่าวรับคำสาบานเสียงหนักแน่นมั่นคง และกุมกระชับมือของหญิงคนรักไว้แน่นเพื่อให้เธอมั่นใจว่าต่อจากนี้ไปเขาจะมีเป็นคนดูแลเธอเอง
ศาสนาจารย์หันมากล่าวกับทางเจ้าสาวบ้าง “นางสาววิลาสิณี เอื้อพินิจ ท่านจะรับนายธิตินัย คณานุคุณ เป็นสามีและสัญญาว่าจะซื่อสัตย์ต่อเขาทั้งในยามสุขและยามทุกข์ ในยามมั่งมีและยากจน จะรักและยกย่องให้เกียรติเขาจนกว่าชีวิตจะหาไม่หรือไม่”
“รับค่ะ” หญิงสาวกล่าวรับคำเสียงหวานด้วยความยินดี จากนั้นชายหนุ่มก็หันมาจับมือซ้ายของเธอมากุมไว้ในมือเขาแล้วสวมแหวนเพชรเม็ดงามให้ ชายหนุ่มยกมือเธอขึ้นมาจุมพิตอย่างแผ่วเบา ก่อนจะยิ้มให้เธออย่างอ่อนโยน หญิงสาวยิ้มตอบด้วยความเขินอายก่อนจะหยิบแหวนมาสวมให้กับชายหนุ่มบ้าง เขาดึงเธอเขามาในอ้อมแขนแข็งแกร่งแล้วโน้มตัวลงมาจุมพิตบนริมฝีปากบางอย่างอ่อนโยน...
“เฮ้ยยย!!” เสียงร้องอย่างตกใจของหญิงสาวร่างอวบดังขึ้น เนื่องจากหนังสือนิยายเล่มโปรดที่เจ้าตัวพึ่งไปสอยมาจากเว็บไซด์ของสำนักพิมพ์เจ้าประจำเมื่ออาทิตย์ที่แล้ว แต่หนังสือเพิ่งส่งมาถึงห้องพักเมื่อวานนี้ ลอยหายไปอยู่ในมือของหญิงสาวร่างสูงโปร่ง ผมสีดำขลับยาวถึงกลางหลัง และหน้าตาสะสวย ที่กำลังยืนเท้าสะเอวอยู่ มืออีกข้างหนึ่งก็กำลังแกว่งหนังสือนิยายเจ้าปัญหาไปมา จนสาวร่างอวบมองตามอย่างใจหายใจคว่ำ
“แกเอาคืนมาก่อนนน! กำลังสนุกเลยเนี่ย รู้มั้ยว่ากว่าเรื่องนี้จะตีพิมพ์ฉันต้องรอนานแค่ไหน แกจะมาขัดอารมณ์ฉันทำไม แล้วก็หยุดแกว่งหนังสือได้แล้ว เดี๋ยวมันยับ!!” สาวร่างอวบนามว่า ระรินทิพย์ ขึ้นเสียงใส่เพื่อนสาวคนสนิทเพราะโดนขัดอารมณ์ และพยายามจะยื้อแย่งหนังสือกลับคืนมาจากมือของเพื่อนสาวแต่ก็ทำไม่ได้ ด้วยความสูงที่ต่างกันเกือบ 10 เซนติเมตร แถมยัยเพื่อนตัวดีของเธอยังเป็นนักกีฬาของมหาวิทยาลัย จึงทำให้เคลื่อนไหวหลบหลีกได้อย่างรวดเร็ว ผิดกับเธอที่เป็นคนไม่ค่อยออกกำลังกาย ส่วนมากจะนั่งติดเก้าอี้ ไม่ก็นอนติดเตียงเพื่ออ่านนิยาย หรือไม่ก็ไปสอนพิเศษให้กับเด็กที่ห้องสมุดของมหาวิทยาลัยแค่นั้นเอง
“วิวาห์แสนรัก” สาวสวยอ่านชื่อเรื่องก่อนจะทำหน้าระอาเพื่อนสาว หลังจากที่พยายามหลบหลีกเพื่อนสาวร่างอวบไปด้วย
“ยัยรินนี้ก็ใกล้สอบแล้วนะ แทนที่แกจะอ่านหนังสือแล้วมาติวให้เพื่อน แต่แกมัวแต่อ่านนิยายอยู่แบบนี้ เดี๋ยวก็เกรดตกหรอก รู้นะว่าแกเรียนเก่งไม่มีทางติดเอฟแน่นอน แต่แกช่วยกรุณาสงเคราะห์เพื่อนของแกคนนี้ด้วยได้ไหม ฉันอ่านอะไรยังไม่เข้าหัวเลยเนี่ย” อังคนาหยุดหลบ แล้วหันมาบ่นอุบอิบให้เพื่อนฟังด้วยความอัดอันตันใจ เพราะเหลือเวลาอีกไม่มากแล้วการสอบปลายภาคก็จะเริ่มขึ้นแล้ว เธอยิ่งไม่ค่อยมีเวลาอ่านหนังสือ เพราะจะต้องไปซ่อมวิ่งเป็นเป็นประจำ ไหนจะต้องไปเรียนอีก ยิ่งอยู่ปี 4 แล้วทั้งงานทั้งกิจกรรมยิ่งเยอะจนแทบจะไม่ได้นอน แต่เพื่อนเธอกลับมีเวลาว่างมาอ่านนิยาย ช่างน่าอิจฉาจริงๆ
“เออน่า เดี๋ยวฉันติวให้ แต่ขอนิยายคืนก่อนได้ไหม อีกแค่ไม่กี่บทก็จบแล้ว มันค้างอะแกเข้าใจไหม” ระรินทิพย์ทำเสียงอ้อน ก่อนที่อังคนาจะยอมคืนหนังสือให้เพื่อนแต่โดยดี
อังคนานั่งมองเพื่อนที่ตั้งอกตั้งใจอ่านหนังสือนิยายแล้วส่ายหน้า สักพักก็นึกขึ้นได้ว่ายังไม่ได้ถามเพื่อนเกี่ยวกับกิจกรรมของชมรม
“เออนี้! แกลงชื่อเข้าค่ายอาสาหรือยัง รู้ไหมว่าปีนี้เราจะไปแถวแม่สายกัน น่าสนุกจังเลยเนอะ” สาวสวยนั่งเท้าคาง ก่อนจะถอนหายใจเสียงดังขึ้นอย่างเหงาๆ ทำให้ระรินทิพย์ต้องเงยหน้าจากหนังสือ เพื่อมองเพื่อนด้วยความสงสัย
“ลงชื่อแล้ว ว่าแต่แกเถอะไหนบอกน่าสนุก แล้วแกจะมานั่งถอนหายใจทำไมกัน” สาวร่างอวบปิดหนังสือนิยายแล้วสนทนากับเพื่อนอย่างจริงจัง เพราะคงไม่มีสมาธิในการอ่านอีกแล้ว เอาไว้เย็นนี้เธอจะรีบอ่านให้จบจะได้ไม่ค้างคา และจะได้อ่านหนังสือสอบอย่างจริงจังสักที
“ก็เราอยู่ปี 4 กันแล้ว นี้ก็เป็นการไปค่ายอาสาครั้งสุดท้ายของพวกเรานะสิ เฮ้อ! ยังไม่อยากเรียนจบเลย จบไปเราคงไม่มีเวลาได้เจอกันบ่อยๆ อีกแล้วเนอะ” หญิงสาวถอนหายใจอีกครั้งก่อนจะมองหน้าเพื่อนสนิทเพียงคนเดียวของเธอ ถึงเธอจะมีเพื่อนเยอะแต่คนที่เธอสนิทด้วยและคุยด้วยได้ทุกเรื่องก็คือ ระรินทิพย์ ด้วยเพื่อนคนนี้เป็นคนพูดน้อย และมักจะคอยรับฟังปัญหาของเธอเสมอ แถมยังช่วยเสนอความคิดเห็นดีๆ ในการแก้ไขปัญหาให้ ทำให้เธอสบายใจทุกครั้งเวลาที่ได้คุยกัน
“ฉันจะพยายามวิดีโอคอลหาแกบ่อยๆ ก็แล้วกัน แต่ถ้าแกเหงามากๆ ก็รีบๆ หาแฟนซะ สวยๆ ระดับดาวคณะอย่างแกหาได้ไม่ยากหรอก” ระรินทิพย์พูดยิ้มๆ ด้วยความขำ เพราะเพื่อนของเธอคนนี้นิสัยเป็นคนตรงๆ ติดจะหยิ่งเล็กน้อย และการพูดจาที่ค่อนข้างแรงผิดกับหน้าตาสวยๆ นั้นลิบลับเลยทีเดียว ที่ทำให้รุ่นพี่รุ่นน้องในคณะที่เข้ามารุมจีบต่างพากันโดนพิษสงของปากร้ายๆ นั้นกันถ้วนหน้า แถมยังมีไม้กันสุนัขอย่างเธอคอยขวาง เลยพากันล่าถอยไปคนแล้วคนเล่า ส่วนเธอด้วยรูปร่างที่ค่อนข้างอวบอัด และหน้าตาที่พอไปวัดไปวากับเขาได้ แต่ดันติดนิยายขนาดหนักเลยทำให้ 4 ปีที่ผ่านมานี้ เธอทั้งสองคนยังคงไร้วี่แววของคนข้างกาย
“ไม่เอาละ! ฉันขออยู่เป็นโสดดีกว่า ไม่ชอบพวกผู้ชาย มีแต่คนเจ้าชู้ กะล่อน หลอกลวง” อังคนาทำหน้ารังเกียจ ก่อนจะเบะปากนิดๆ แล้วยังไหล่ ด้วยเจอจากประสบการณ์การโดนตามจีบตลอด 4 ปีที่ผ่านมา
“จ้าๆ แล้วแต่แกเถอะ ว่าแต่ไปหาอะไรกินกันไหม ฉันหิวแล้วอะ” ระรินทิพย์เห็นว่าเป็นเวลาเที่ยงกว่าแล้ว แถมท้องยังร้องจ้อกๆ เพราะโดนน้ำย่อยกัดกระเพราะ จนแสบไปหมด จึงเอ่ยชวนเพื่อนรัก
“เอาสิ! แต่แกเลี้ยงนะ” สาวสวยยิ้มเจ้าเล่ห์ ด้วยเมื่อวานนี้เธอเพิ่งเลี้ยงยัยหมูอ้วนนี้ไป วันนี้เธอจะกินให้ยัยเพื่อนตัวดีนี้กระเป๋าแฟบไปเลย จะได้ไม่มีเงินไปซื้อนิยาย
“จ้า...” ระรินทิพย์ รู้หรอกว่าเพื่อนคิดอะไร แต่พวกเธอก็มักจะพลัดกันเลี้ยงข้าวแบบนี้ประจำ พอถึงทีเธอบ้าง เธอก็จะจัดหนักให้เพื่อนเหมือนกัน เธอเลยไม่สงสัยว่าทำไมตัวเองไม่ผอมเพรียวอย่างเพื่อนสักที
จากนั้นสองสาวก็เดินคุยกันไปจนกระทั่งถึงโรงอาหารของมหาวิทยาลัยรัฐแห่งหนึ่ง ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ