Whisper Softly ให้รัก(เรา)โยงใจไว้ด้วยกัน
Whisper Softly ให้รัก(เรา)โยงใจไว้ด้วยกัน
รักโรแมนติก
Fahnamkang Namkangfah
เพราะเขา...คือคนที่พ่ออยากให้เธอแต่งงานด้วย ซึ่งมันจะไม่มีปัญหาตามมาเลย หากคนคนนั้นไม่ใช่อาจารย์ที่สอนอยู่ในคณะเดียวกันกับที่ที่เธอเรียนอยู่! ทั้งคู่จึงต้องปิดบังสถานะที่ได้พันธะกันไว้แล้วไม่ให้ใครล่วงรู้ เพื่อไม่ให้ความลับอันไม่เหมาะสมแพร่งพรายออกไป ซึ่งแม้แต่เพื่อนสนิทก็จะรู้เฉพาะคนที่ไว้ใจได้เท่านั้น! แต่ก็มีอันต้องหวาดระแวงเพราะมีคนจ้องสงสัยและขุดคุ้ยเรื่องราวของพวกเขา แล้วเช่นนี้ความสัมพันธ์ระหว่างสามีภรรยาจะทนเก็บไว้ได้นานอย่างไรภายใต้หน้ากากที่ต้องสวมคั่นไว้ในฐานะ 'นักศึกษา' และ 'อาจารย์'
  • 3 ตอน
  • 863
นิยายโดย
  • 2 เรื่อง
  • |
  • 1 คนติดตาม
บทนำ

บทที่ 1

หลังจากรับประทานอาหารกลางวันที่โรงอาหารกัน กลุ่มนักศึกษาซึ่งเรียนในหลักสูตรนานาชาติ คณะเศรษฐศาสตร์ก็พร้อมจะเข้าเรียนในคาบบ่ายต่อไป

ถึงแม้พวกเธอว่าจะเรียนที่นี่ถึงสองปีแล้ว แต่เนื่องจากตอนนี้เป็นสัปดาห์แรกของการเปิดเทอมจึงทำให้นักศึกษาวิ่งวุ่นในการหาอาคารเรียน และที่นั่ง

“วันนี้ร้อนมากเลยอ่ะ” คุณหนูในกลุ่มอดบ่นไม่ได้เมื่อเจอสภาพอากาศที่ร้อนที่สุดในรอบปี มือหนึ่งของเธอถือร่มขณะที่อีกมือถือพัดลมเพื่อบรรเทาความร้อนเช่นเดียวกับเพื่อนที่เหลือ

“Today set to be the hottest day of the year” สาวประเภทสองผู้ชอบบ่นเป็นภาษาอังกฤษบอก “จำไม่ผิดก็น่าจะราวเฉียดสี่สิบองศาเลยนะ แต่ว่าคงจะไม่ร้อนจนใจละลายเท่ากับได้เข้าไปเรียนในวิชาในคาบบ่ายนี้หรอก ถ้าพวกแกได้เห็นแค่หน้าคนสอนนะ แกก็คงจะปากแห้งคอแห้งกระหายน้ำเหมือนอยู่ทะเลทรายซาฮาร่าเลยล่ะ He’s so hot!” เกริกเกียรติจีบปากจีบคอขณะบอกเพื่อนสาว หรือ พัฒน์ธิดา ทายาทเจ้าของห้างสรรพสินค้าย่านกลางกรุง

ทุกคนในกลุ่มที่ได้ฟังก็รู้ว่าเกริกเกียรติหมายถึงใคร ในทีแรกพวกเธอไม่ได้สนใจจะลงทะเบียนเรียนวิชานี้เลย ทว่าคนบ้าผู้ชายที่อยากสัมผัสการสอนของอาจารย์อย่างใกล้ชิดได้ใช้ความพยายามตื๊อพวกเธออย่างสุดฤทธิ์จนทุกคนในกลุ่มยอมร่วมลงทะเบียนเรียนกันสำเร็จ

พัฒน์ธิดาเองก็ยอมไหลตามเพื่อนเพราะเห็นว่าคงสนุกดี ทั้งเธอก็อยากเห็นเหมือนกันว่าอาจารย์ ‘ภูพรพงษ์’ ที่ใครๆ ก็ว่าหล่อวัวตายควายล้มจนต้องถึงกับลากเก็บศพคนเห็นนั้นจริงหรือเปล่า

ซึ่งเธอได้สันนิษฐานเบื้องต้นจากการที่ยังไม่ได้เห็นรูปลักษณ์ของเขาไว้ว่าสิ่งที่ทำให้อาจารย์คนนี้ฮอตมากๆ ก็คือสถานะโสดบวกกับอายุที่ยังน้อยของเขา ความหลงใหลที่มีต่ออาจารย์หนุ่มส่งผลให้สาวเล็กสาวใหญ่หรือแม้แต่น้องปีหนึ่งที่ตั้งความหวังว่าอยากจะเข้าไปยืนอยู่ในหัวใจอาจารย์ จนบางคนถึงขนาดยอมเรียนข้ามคณะมาลงเรียนวิชาที่เขาสอนทั้งที่ไม่ได้เกี่ยวกับสาขาตัวเองเลย

สาวๆ ทั้งสี่พูดคุยกันอย่างเพลิดเพลินจนเดินมาถึงหน้าห้องเรียน ซึ่งบริเวณนั้นมีสิกานตาหรือเพื่อนในกลุ่มอีกคนที่กำลังยืนรออยู่

“วันนี้เปลี่ยนกระเป๋าใบใหม่เหรอจ๊ะ” เกิรกเกียรติทักเพื่อนที่บอกว่าตื่นสายจนไม่สามารถเข้าเรียนคาบเช้าพร้อมพวกเธอ “หืมม Chanel รุ่นใหม่ล่าสุดซะด้วย ฉันจำได้สีนี้แหละมัน Sold out ที่ boutique ปารีส ตั้งแต่อาทิตย์แรกๆ เลย!”

สิกานตายกแขนขึ้นอวดสิ่งที่เพื่อนสาวประเภทสองให้เห็นอย่างเต็มตา “พอดีว่าคุณน้าไปฝรั่งเศสมา ก็เลยซื้อมาฝาก ไม่แพงเท่าไรหรอก”

“ไม่แพงอะไรยะ รุ่นนี้นี่จ่ายค่าเทอมได้ทั้งปีเลยนะยะ!” สาวประเภทสองผู้เป็นกูรูแฟชั่นจับจ้องอย่างไม่วางตา

“แต่ราคาคงไม่ได้ครึ่งหนึ่งของที่เพื่อนถือหรอก” คำพูดที่ไม่รู้ว่ากัดพัฒน์ธิดารึเปล่าทำเอาเกริกเกียรติสะดุ้ง รู้สึกว่าช่วงหลังมานี้สิกานตาจะกัดคุณหนูพอมแพมบ่อยเหลือเกิน

ช่วงแรกที่รู้จักกันสิกานตามักใช้ของที่ดูธรรมดาไม่ได้มีแบรนด์เนมอะไร แต่นับวันเข้า สิ่งของที่หล่อนใช้ก็เปลี่ยนไปเป็นแบรนด์หรูที่แม้แต่เกริกเกียรติซึ่งเป็นทายาทบริษัทส่งออกอาหารทะเลยังต้องคิดหนัก ทั้งกระเป๋า เสื้อผ้า รองเท้า เครื่องสำอาง รวมไปถึงของใช้เล็กน้อยอย่างสมุด ปากกาก็แพงกว่าพัฒน์ธิดาซึ่งรวยที่สุดในกลุ่ม

ต่างจากเมื่อครั้งเรียนปีหนึ่งสิกานตายังเคยขอกระเป๋าแบรนด์เนมสภาพดีของพัฒน์ธิดามาใช้ ทั้งที่หล่อนเคยบอกว่าเป็นลูกผู้ดีเก่า แต่เพราะต้องการช่วยที่บ้าน หล่อนจึงประหยัด โดยพัฒน์ธิดาก็ไม่ได้ถือสาหรือสงสัย ทั้งเธอยังทยอยขนเอากระเป๋ามาให้เพื่อนจำนวนหลายสิบใบ เพราะอ้างว่าตัวเองมีเหลือใช้อยู่มากโข

“พอมแพมมันเป็นลูกเจ้าของห้าง อยู่เฉยๆ เดี๋ยวแบรนด์ก็ส่งของให้มันอยู่แล้ว” เพราะห้างสรรพสินค้าของตระกูลอดุลยศักดิ์อยู่บนพื้นที่ทำเลทอง หลายแบรนด์ทั้งจากไทยและต่างประเทศที่ตั้งอยู่ที่นั่นจึงมักส่งของขวัญอย่างเช่น เสื้อผ้า กระเป๋า ระดับรุ่นท็อปมาเซ่นลูกสาวนายห้าง

แม้จะไม่ชอบใจคำพูดเพื่อนสาว แต่พัฒน์ธิดาก็ไม่คิดไม่ถือสา เธอเลี่ยงเข้าไปในห้องเรียนที่นักศึกษาเริ่มทยอยเข้าไปจับจองพื้นที่

เพื่อนในกลุ่มที่รู้บรรยากาศว่าเป็นอย่างไร จึงจัดแบ่งกันนั่งเป็นสองแถวแบบขั้นบันไดเพื่อให้ทั้งสองคนแยกที่นั่งจากกัน

พัฒน์ธิดาที่นั่งก้มหน้าเล่นโทรศัพท์มือถือได้สักพักเงยหน้าขึ้นเพื่อมองไปรอบๆ หลังจากได้ยินเสียงแว่วๆ จากคนรอบข้างอย่างหนาหูว่ากำลังพูดถึงอาจารย์หนุ่มหน้าใสวัยสามสิบ ซึ่งแม้จะเขี้ยวลากดินในเรื่องการให้เกรด แต่เรื่องหน้าตาและการสอนนั้นไม่เป็นรองใคร โดยเฉพาะเสน่ห์อันล้นเหลือที่แม้จะเห็นเขายืนอยู่ห่างสักร้อยเมตรแต่ก็ยังเห็นว่าดูดีและโดดเด่น กระนั้นเธอก็เบะปากก่อนจะไม่ใส่ใจ

จนถึงเวลาเมื่อบ่ายโมงตรง เสียงเปิดประตูที่ให้ความรู้สึกต่างจากทุกทีก็ดังขึ้น ร่างของอาจารย์ที่ทุกคนรอคอยปรากฏพร้อมกับการดึงดูดความสนใจจากทุกคนในห้องได้อย่างน่าอัศจรรย์

ใครๆ ก็รู้ว่าอาจารย์ภูพรพงษ์เป็นคนที่ตรงเวลาขนาดไหน

ร่างสูงสง่าในเสื้อเชิ้ตสีฟ้าหม่นเข้ากับกางเกงสีเขียวเกือบจะดำสามารถสะกดสายตาทุกคู่ในห้องให้ติดตามมองโดยไม่คิดจะกระพริบตา ซึ่งตอนนี้เธอยอมรับแล้วว่าแม้แต่ผู้ชายเองก็ยังคงอิจฉาตาร้อนกับความเพอร์เฟคของเขา

ผมสีดำซึ่งคล้ายจะเงาดูมีสุขภาพดีถูกจัดเซ็ตแบบเรียบง่ายเข้ากับรูปหน้าคมคายที่ดูอ่อนโยน ผิวของเขาดูเปล่งประกายเพราะเป็นสีสว่าง ยิ่งได้มองก็ยิ่งพาลให้สาวๆ ในห้องกรี๊ดกร๊าดจนชิงกันจะเป็นลมเป็นแล้งทั้งที่ยังไม่ได้เรียน

จมูกของเขาโด่งสวยเหมือนหนุ่มๆ ฝั่งยุโรป รับกับริมฝีปากกระจับสวยสีชมพูอ่อน ซึ่งคงเป็นเพราะดื่มน้ำบ่อยจนไม่เคยปากแห้งกรอบและไม่สูบบุหรี่ ดวงตาที่เหมือนมีเวทมนตร์สะกดมีเงาเป็นประกาย ทำให้เป็นประหนึ่งดุจเทพบุตรเชื้อสายเอเชียที่สาวๆ ฝั่งตะวันออกต่างชื่นชอบ ยิ่งพอเขาได้จับไมค์แล้วกล่าวทักทายนักศึกษาทุกคนด้วยน้ำเสียงนุ่มทุ้มน่าฟังเป็นภาษาอังกฤษแล้ว นักศึกษา ในห้องก็พยายามจะไม่กัดปากหรือแสดงท่าทีที่แสดงถึงอาการคลั่งไคล้ในตัวเขาอย่างรุนแรง

ด้วยทุกคนรู้เกียรติศักดิ์ของภูพรพงษ์ดีว่าไม่ชอบให้ใครเสียงดังระหว่างคาบเรียน ใครฝ่าฝืนย่อมโดนเชิญออกจากห้องไปอย่างไม่คิดไว้หน้ากัน

เพียงแค่เห็นใบหน้าหล่อเหลาในมุมข้างๆ ก็ทำให้เลือดในกายร้อนฉ่าจนเดือดปุดๆ และแทบอยากลงไปแดดิ้นกองอยู่บนพื้น ไม่เว้นแม้แต่พัฒน์ธิดาที่คิดว่าตัวเองมีภูมิต้านทานกับเพศตรงข้ามสูง

ทำไมตอนนี้หัวใจของเธอดังรัวเร็วและเต้นถี่เสียยิ่งกว่าจรวดที่พร้อมจะออกนอกโลกอีกนะ

แม้ว่าเขาจะดูเรียบร้อย แต่ก็ไม่เชิงว่าจะดูแต่งกายเนี๊ยบเหมือนอาจารย์ที่มีอายุมาก

ตอนนี้หูของคนที่ไม่เคยหลงใหลไปกับรูปลักษณ์ไม่ได้ยินแม้แต่เสียงสาวๆ ที่แอบกระซิบกระซาบกันรอบๆ ดวงตากลมโตมองร่างสูงซึ่งยืนอยู่ตรงพื้นที่ใช้สอนอย่างไม่วางตาจนคนตรงนั้นบังเอิญช้อนตาขึ้นสบกับเธอ ซึ่งนั่นทำเอาหัวใจสาวแทบจะวายไปในทันที

แต่กระนั้นก็ไม่อาจสั่งให้ร่างกายถอนสายตาจากเขาได้ เป็นบ้าอะไรกัน!

รู้ตัวอีกทีว่าต้องทำอะไรก็เมื่ออีกฝ่ายเสตาหลบและยกมือขึ้นกระแอมเบาๆ อย่างน่าดูจึงทำให้พัฒน์ธิดามีปัญญาออกจากภวังค์ได้สำเร็จ

“แน่ะๆ! มองอาจารย์พูห์จนหน้าแดงเลยนะ” สาวประเภทสองขึงตาใส่เมื่อคนปากแข็งคิดจะพูด “อย่ามาปฏิเสธนะ! เมื่อกี้ฉันเห็นแกมองเขาตาเยิ้มเชียว” เกริกเกียรติออกปากแซ็วอย่างได้ทีเมื่อเพิ่งจะเคยเห็นเพื่อนคุณหนูสาวมีอาการมึนเมาจากการตกหลุมรักผู้ชายครั้งแรก

ที่ผ่านมาใช่ว่าจะไม่มีใครกล้ามาจีบทายาทสาวจากตระกูลอดุลยศักดิ์ หากแต่คนมาตรฐานสูงตั้งใจมองข้ามผู้ชายที่กล้าเสนอหน้าเข้าหา ทั้งที่พวกเขาก็ออกจะหน้าตาดี แถมพ่วงมาด้วยฐานะทางบ้านที่ไม่ได้ด้อยไปกว่าเจ้าสัวห้างใหญ่หรือพ่อของเธอเลย

แก้มของคุณหนูสาวเริ่มเป็นสีแดงจัดกว่าเดิม ร้อนจนร่างเจียนจะระเบิด ซึ่งตรงกันข้ามกับการทำแก้มพองและถลึงตาใส่เพื่อนในเชิงข่มขู่เพื่อกลบเกลื่อนอาการอันแปลกประหลาด

ถ้าหากอาจารย์ไม่ได้อยู่ในห้องนี้เธอก็คงจะตะบันหน้าเพื่อนที่สวยจัดเกินหญิงแท้คนนี้ไปแล้ว!

ทว่าเธอก็ได้แต่คิด ไม่อาจทำได้ดั่งใจ พัฒน์ธิดาจึงพยายามทำตัวเป็นปกติ และทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

เธอไม่ได้ผิดปกติไปคนเดียวสักหน่อย ดูคนอื่นสิ อาการหนักกว่าเธอตั้งเยอะ!

พัฒน์ธิดาพยายามเบี่ยงเบนความคิดไร้สาระของตัวเองด้วยการตั้งใจฟังที่อาจารย์บรรยายอย่างตั้งใจด้วยน้ำเสียงน่าฟัง

จนไม่นานอาจารย์ก็แจกเอกสารรายละเอียดวิชาให้นักศึกษาในห้องซึ่งระหว่างนั้นเขาก็ถามทุกคนเกี่ยวกับนิยามของคำว่าเศรษฐศาสตร์ระหว่างประเทศ ทว่าคนที่ตั้งใจฟังอาจารย์อย่างดิบดีในทีแรกเป็นต้องสติหลุดเมื่อเกริกเกียรติมาสะกิด

“แหม วิชานี้ดูตั้งใจเชียวนะยะ ทีเมื่อเช้าไม่เห็นจะเป็นอย่างนี้บ้างเลย มัวแต่เล่นมือถือ” สาวประเภทสองหรี่ตามองเพื่อน

“เปล่าสักหน่อย ฉันก็แค่...เพิ่งนึกออกว่าเทอมนี้ป๊าอยากให้ได้เกรดสามขึ้น” พัฒน์ธิดาตอบหน้าตาเฉยทั้งที่ตัวเองคิดว่าเรื่องนี้เป็นไปได้ยากมาก และตัวเองก็ไม่คิดจะทำ

ที่สำคัญบิดาทราบดีว่าเธอมีความพยายามต่ำมากแค่ไหน เขาจึงคอยท้วงติงอรพรรณเพื่อนที่เรียนเก่งที่สุดในกลุ่มช่วยกำชับและดูแลเรื่องการเรียนของเธอ

แค่ฝืนใจเรียนให้รอดไปแต่ละเทอมก็เหนื่อยพอแล้ว อย่าหวังเลยว่าจะคว้าเกรดงามๆ มา

แน่นอนว่าคณะนี้ไม่ใช่คณะในฝันที่เธออยากเข้าเรียน หากแต่บิดาบังคับให้เธอเลือกระหว่างสองคณะเท่านั้น...ไม่เศรษฐศาสตร์ก็บริหาร...

ทั้งที่ใจอยากจะเข้าเรียนนิเทศศาสตร์ แต่ก็ไม่อาจต้านทานความต้องการของผู้ให้กำเนิดได้ เธอจึงเลือกคณะที่มีเพื่อนร่วมมัธยมปลายกันมาอย่างอรพรรณและเกริกเกียรติเลือกเรียน

“อย่ามาแก้ตัว! นี่แกต้องขอบใจฉันนะที่เป็นคนชวนมาลงวิชานี้ ไม่งั้นแกก็คงไม่ได้มีบุญมาเห็นผู้ชายที่ทำให้หัวใจน้ำแข็งอันเย็นชาของแกสะท้านได้หรอก...ว่าแต่แกชอบโคแก่เหรอจ๊ะ”

คำพูดหยอกล้อของเพื่อนทำให้ใบหน้าของพัฒน์ธิดากลับมาแดงแจ๋ได้อีกครั้ง “บ้า! ไม่ใช่สักหน่อย…”

พูดไม่ทันจบ จู่ๆ อรพรรณที่นั่งข้างๆ ก็สะกิดเธอและเกริกเกียรติ ทำให้รู้ว่าพวกเธอกำลังเป็นที่สนใจของคนในห้อง รวมถึงบุรุษที่กำลังยืนอยู่ด้านหน้าด้วย!

เสียงทุ้มภาษาอังกฤษสำเนียงดีของผู้ทรงอำนาจที่สุดดังขึ้นในวินาทีต่อมา แม้ว่าเธอจะรู้สึกเคลิบเคลิ้มกับโทนนี้สักเท่าไร แต่ก็ไม่อาจรู้สึกไปมากกว่าความประดักประเดิดที่จู่ๆ ก็โดนเขาจู่โจมเข้า!

“ผมเห็นพวกคุณพูดคุยกัน คงกำลังถกคำตอบกันอยู่” เขาเอ่ยด้วยสีหน้าและน้ำเสียงปกติ แต่พวกเธอทราบดีว่า อาจารย์แอบเหน็บแนม

ทั้งนัยน์ตาของเขาก็ดูเคร่งขรึมและเย็นชากว่าเมื่อครู่ …ห่างไกลจากเมื่อสบตาครั้งแรกกับเธอลิบลับ

พัฒน์ธิดาเจ็บใจที่ตัวเองโดนเล่นงาน แต่เธอก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากกระแซะให้คนต้นเรื่องซึ่งนั่งอยู่ข้างๆ เป็นคนตอบ ทว่าอีกฝ่ายก็เอาแต่ส่ายหน้า

เอาวะ ตอบเองก็ได้!

พัฒน์ธิดาตอบไปอย่างเต็มเสียง แต่กลับทำเอาคนในห้องหน้าเหวอก่อนจะออกอาการขำกันทั่ว ซึ่งแม้แต่อาจารย์ที่ทำหน้าตาจริงจังก็ยังส่อแววตาอารมณ์ขันด้วย!

“อะไรวะ ฉันตอบอะไรผิด” พัฒน์ธิดาเอ่ยอย่างขุ่นมัวจนอรพรรณต้องสะกิดบอกอย่างระวัง

“พอมแพม...เมื่อกี้อาจารย์เขาถามว่าให้บอกนิยาม Free Trade Policy ตามความเข้าใจของตัวเอง” ไม่ใช่ความหมายของเศรษฐศาสตร์ระหว่างประเทศ!

คนที่เพิ่งรู้ว่าผิดจึงรีบกู้หน้า โดยลืมใบหน้าของตนที่อายจนม้านไป

“...คือ...การกำหนดแนวทางสนับสนุนการค้าระหว่างประเทศ อย่างเช่น ยกเว้นภาษีนำเข้าสินค้าบางประเภทค่ะ” เสียงของเธอแผ่วอย่างไม่มั่นใจเหมือนทีแรก

อาจารย์พยักหน้าเป็นเชิงรับรู้ ก่อนจะหันไปถามนักศึกษาคนอื่นต่อ “มีใครจะบอกเพิ่มอีกไหมครับ”

ทันใดนั้นแขนเรียวเสลาของผู้กล้าก็ยกขึ้นเพื่อตอบคำถาม

“นโยบายการค้าเสรีเป็นแนวทางในการส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ ว่าแต่ละประเทศควรเลือกผลิตสินค้าที่ตัวเองได้เปรียบเรื่องต้นทุนแล้วนำไปแลกกับอีกประเทศหนึ่งซึ่งได้เปรียบด้านต้นทุนในสินค้าอื่น หรือเรียกง่ายๆ ว่าเป็นแนวทางที่รัฐบาลสนับสนุนให้มีการค้าแบบไม่มีข้อจำกัด อย่างเช่นการไม่ตั้งกำแพงภาษีขาเข้า” เสียงแจ๋วๆ หวานใสตอบเป็นภาษาอังกฤษด้วยสำเนียงที่เป๊ะราวกับเป็นภาษาแม่ ซึ่งเหล่านักศึกษาชายในห้องก็ต่างมองว่าเสียงนั้นน่ารัก ทว่าสำหรับกลุ่มของพัฒน์ธิดานั้นไม่ได้รู้สึกเช่นเดียวพวกเขา

อาจารย์ไม่ได้เอ่ยชมแต่อย่างใดเช่นเดียวกับที่พัฒน์ธิดา เขาเพียงพยักหน้า ก่อนจะอธิบายเพิ่มเติม ซึ่งก็เหมือนจะทำให้ใครบางคนโล่งอกอย่างไม่มีสาเหตุ

“โอ๊ยยย เจ้าประคุณ ไม่คิดว่าหล่อแล้วยังสามารถทารุณกรรมหัวใจสาวน้อยได้มากถึงขนาดนี้ สมแล้วที่ได้ฉายาว่า ‘พูห์สังหาร!’”

คำว่า พูห์ เป็นชื่อที่เหล่านักศึกษาและลูกศิษย์ใช้ล้อเลียนอาจารย์ภูพรพงษ์ ทั้งที่สมควรจะใช้คำว่า อาจารย์ภู มากกว่า แต่จากที่เผชิญมาด้วยตัวเองแล้วพัฒน์ธิดาก็เห็นว่าชื่อแรกเหมาะกับเขาที่สุด!

สาวประเภทสองเอ่ยพลางตบอก หล่อนทั้งโล่งอกที่อาจารย์ไม่ซักไซ้หันมาถามตัวเธอต่อ แต่ก็อดหมั่นไส้นงนภัสหรือเพื่อนร่วมรุ่นในเวลาเดียวกันไม่ได้

“แต่ยายนมบูดนี่สิอะไร แสดงความอินเทลเลเจ้นท์ออกหน้าออกตานี่กลัวอาจารย์จะไม่รู้หรือไงว่าตัวเองมีตัวตนอยู่ในห้อง โอ๊ยย นึกว่าคนอื่นเขามองไม่ออกหรือไงว่ากำลังอ่อยอาจารย์อยู่ น่าเกลียดจริงๆ!” นงค์นภัสที่มีชื่อเล่นว่า มิลค์ ถูกตั้งให้เป็น นมบูด เพราะรู้มาว่ายายนั่นมีปมด้อยเรื่องหน้าอกและเพิ่งไปทำศัลยกรรมมา พวกเธอจึงหาเรื่องจิกกัดหล่อนอย่างตรงจุด

เรื่องมันเกิดขึ้นตั้งแต่ปีหนึ่งที่พัฒน์ธิดาถูกคัดเลือกจะไปเป็นดาวคณะ ซึ่งสร้างตวามไม่พอใจให้แก่นงค์นภัสและเพื่อน พวกหล่อนจึงได้หาเรื่องกลั่นแกล้งและเข้าหารุ่นพี่จนตัวเองสนิทจนได้เป็นดาวคณะแทน นับแต่นั้นมาความสัมพันธ์ที่ควรจะดีกันในฐานะเพื่อนร่วมรุ่นเดียวกันก็ติดลบแดงเถือกจนแทบมองหน้ากันไม่ติด แต่อาจจะมีข้อยกเว้นทนมองกันบ้างในช่วงสมน้าหน้าและเย้ยหยันกัน

ที่จริงพัฒน์ธิดาก็คงไม่ใส่ใจเท่าไร หากอีกฝ่ายไม่มาหาเรื่องเธออย่างเช่นพูดจาเหน็บแนมหรือเอาเธอและกลุ่มเพื่อนไปว่าเสียๆ

“เงียบน่า อยากจะลุกขึ้นตอบอีกรึไง!” คนขายหน้าที่โดนศัตรูคู่แข่งชิงตัดหน้าไปพูดดักคอเพื่อนไว้ เพราะไม่อยากจะถูกลากออกมาเป็นไก่โดนเชือดโชว์ต่อหน้าลิงทั้งฝูงอีก

พัฒน์ธิดาตั้งใจตลอดระยะเวลาที่เขาพร่ำสอนด้วยท่าทีจริงจัง หากแต่ใครจะรู้ว่าเธอกำลังเหยียบส่วนลึกไว้ไม่ให้มันเดือดปุดๆ มากนัก

หึ คอยดูนะ เลิกเรียนเสร็จเมื่อไรแม่จะถอนจาก section นี้ไปเรียนกับอาจารย์คนอื่นแทนเลย!

เกี่ยวกับนักเขียน
2 เรื่อง 1 คนติดตาม
นิยายเรื่องอื่นของFahnamkang Namkangfah