“แยกกันตรงนี้นะแก ไปล่ะ เจอกันพรุ่งนี้” แสงพรรษาเอ่ยบอกเพื่อนอย่างห้วนๆ หลังจากแยกย้ายกันกลับจากงานเลี้ยงวันเกิดเล็กๆที่เพื่อนๆของเธอจัดให้เธอ
“วันนี้แม่จะทำอะไรน๊า ถ้ามีไก่คั่วพริกเกลือด้วยก็คงดี .... ไม่สิต้องมีแน่ๆ” หญิงสาวพึมพำกับตัวเองระหว่างเดินทางกลับบ้าน อดคิดถึงครอบครัวไม่ได้ วันนี้เป็นวันพิเศษของเธอ และเป็นเหมือนวันครอบครัวของบ้าน เพราะในทุกๆปีที่บ้านของเธอจะจัดฉลองเล็กๆในวันนี้ ซึ่งเป็นวันเกิดของเธอ อาหารง่ายๆที่เธอชอบและของขวัญเล็กๆน้อยๆพวกนั้นอาจเทียบไม่ได้กับงานฉลองสุดเหวี่ยงกับเพื่อน แต่ทว่าสุขใจและอบอุ่น คิดได้ดังนั้นหญิงสาวก็รีบเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้น เพียงอีกสองซอยเท่านั้นก็จะถึงบ้านของเธอแล้ว
“มืดขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่นะ วันนี้เงียบชอบกลแหะ” หญิงสาวรำพึงรำพันกับตัวเอง หลังจากเพิ่งสังเกตถึงความเงียบที่เริ่มปกคลุมมาพร้อมกับความมืด ทั้งที่กลับดึกว่านี้เธอก็เคยทำ แต่มันก็ไม่รู้สึกวังเวงเท่าตอนนี้ อาจเพราะไฟกิ่งข้างทางที่เพิ่งเสียได้ไม่นานทำให้บรรยากาศดูแปลกตา ผู้คนที่มักจะเดินอยู่ประปรายในช่วงค่ำก็พาลหายไปด้วย ไหนจะเสียงนกกาที่ร้องหวนขับความวังเวงให้เด่นชัดขึ้นอีก หญิงสาวไม่รอช้ารีบก้าวพาร่างขอตนออกจากบรรยายกาศที่ดูไม่น่าไว้ใจในความรู้สึก
‘อีกซอยเดียวเท่านั้น ทนไว้ อีกซอยเดียว ’ หญิงสาวพูดบอกตัวเองในใจ ตอนนี้ความรู้สึกหวาดระแวงแทรกอยู่ทุกอนุความคิดและความรู้สึก
‘ทนไว้ อีกนิดเดียว ทนไว้ ทน...ทน...ทนไม่ไหวแล้วโว้ย’ อาจเพราะความเงียบสงัดที่ทำให้ใจของเธอไม่สงบ ความคิดของเธอถึงได้ดังขึ้นจนกลายเป็นตะโกนออกมาเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ เพียงสิ้นเสียงตะโกน สองขาเรียวของหญิงสาวก็ออกวิ่งทันที แม้จะจริงอย่างที่บอกตนเองว่าเพียงซอยเดียว แต่ในความรู้สึกของเธอมันเหมือนกับว่าห่างเป็นสิบกิโล แต่แล้วสายตาของเธอก็ไปสะดุดกับกลุ่มคนข้างหน้าทำให้หญิงสาวอุ่นใจขึ้นเล็กน้อย ถึงแม้เธอจะไม่รู้ว่าคนเหล่านั้นกำลังมุงให้ความสนใจอะไรอยู่ก็ตาม อาจเพราะการวิ่งแบบกะทันหันทำให้ขาเธอล้า เธอจึงผ่อนเท้าลงในระดับความเร็วปกติที่เธอเดินอยู่เป็นประจำ
ยิ่งเดินก็ยิ่งเข้าใกล้กลุ่ม ‘ไทยมุง’เข้าไปทุกที จากเห็นลางๆแต่ไกลๆ ตอนนี้เธอเริ่มเห็นอะไรชัดขึ้น เสียงเอะอะที่ปนกับเสียงชัตเตอร์ แสงแฟลชที่ส่องกระทบแนวกั้นสีเหลืองของตำรวจที่ล้อมลึกเข้าไปในโพรงหญ้าข้างทางทำให้หญิงสาวเริ่มใจไม่ดีขึ้นมาอีกครั้ง ใจหนึ่งอยากเดินผ่านตรงนี้ไปให้เร็วที่สุด แต่อีกใจหนึ่งก็อยากรู้เหลือเกินว่าข้างหน้ามีเหตุอะไรเกิดขึ้น แม้เธอจะไม่รู้ว่ามีสิ่งใดเกิดขึ้นจนเป็นเหตุให้เกิดความวุ่นวายตรงหน้าแต่ในความรู้สึกของเธอแล้วมันรับรู้ได้ว่าไม่ใช่เรื่องดีอย่างแน่นอน และคงเป็นความกลัวของเธอที่ชนะ ทำให้เธอตัดสินรีบสาวเท้าผ่านกลุ่มคนตรงหน้าแทนการเข้าไปดู แต่ถึงอย่างนั้น แม้จะเพียงแค่หางตาผ่าน เธอก็เห็นมือขาวซีดที่โผล่พ้นออกมาจากโพรงหญ้า มือนั้นใหญ่พอที่จะรู้ว่าไม่ใช่มือผู้หญิง มือที่ดูขาวยิ่งกว่ากระดาษนั้นขับสายข้อมือสีแดงที่ดูแปลกตาให้เด่นชัดขึ้น เธออดไม่ได้ที่จะหันกลับไปดูมันอีกครั้ง สายสร้อยนั้นสวยจนเธอคิดว่าหากเธอพบตามร้านค้าคงตัดสินใจซื้อมันอย่างไม่ลังเลใจไม่ใช่อยู่บนข้อมือคนตายอย่างที่เป็น
‘เดียวนะ คนตายงั้นหรือ’ หญิงสาวสะดุดกับความคิดของตัวเอง หลังจากคิดเรื่อยเปื่อยกับภาพที่เห็น เท้าที่ก้าวก็พลอยชะงักไปด้วย เพียงไม่นานหลังจากพยายามทำความเข้าใจกับสิ่งที่เห็น ดวงตากลมตอนนี้เบิกกว้างขึ้นไปอีกเมื่อได้ข้อสรุปผุดขึ้นมาในใจ
“ชิบหายล่ะ ฆาตกรรม ทางเข้าบ้านกู!”
…………………………………………………………………………………
ปัง!!
เสียงปิดประตูดังสนั่น มือชื้นเหงื่อนั้นยังจับลูกบิดประตูไม่ปล่อย รางบางตัวก่อเหตุยังคงยืนพิงประตูอย่างหมดแรงไม่ไปไหนเนื่องจากยังไม่หายจากอาการเสียขวัญ
“ยัยลูกคนนี้นี่ จะทะโมนไปไหน บอกแล้วว่าให้ทำอะไรเบาๆ โตเป็นสาวแล้วนะ ทำตัวอย่างกับเด็กผู้ชาย”คนเป็นแม่ตะโกนออกมาจากในครัว แม้จะไม่ออกไปดูก็รู้ว่าเป็นฝีมือใคร
แต่เมื่อเห็นไม่มีเสียงโต้ตอบอย่างเคยจากลูกสาว เธอจึงละมือจากการทำอาหาร แล้วเดินไปดูลูกรักที่ตอนนี้รู้สึกได้ถึงความแปลกไปจากปกติ
“เป็นอะไรหรือเปล่าลูก ทำไมหน้าซีดขนาดนั้น”
“แม่ค่ะ รู้ไหมว่า......” หากแต่เสียงๆหนึ่งก็ดึงความสนใจของของหญิงสาวไป ทำให้ความตั้งใจที่จะพูดนั้นชะงักลง สายตาก็จดจ่องไปยังจอภาพซึ่งเป็นที่มาของความสนใจของเธอในตอนนี้
‘เมื่อเวลาประมาณ ๑๘.๐๐ น ของวันนี้ ได้พบร่างของชายหนุ่มถูกฆ่าอำพรางทิ้งไว้ในโพรงหญ้า จากเอกสารการเดินทางพบว่า ผู้เสียชีวิตชื่อ นาย ธูป พินิจพรรัตนโชติ อายุ ๒๔ ปี สัญชาติไทย ได้เดินทางกลับประเทศไทยในเวลา ๑๓.๐๐ น. ของวันนี้ จากการสันนิษฐานของตำรวจและแพทย์ที่ร่วมกันชันสูตร คาดว่าผู้ตายได้เสียชีวิตมาไม่ต่ำกว่า ๓ ชั่วโมง โดยสภาพนั้นมีร่องรอยการถูกรัดที่คอ......’
หูของเธอรับรู้ได้เท่านั้น ถึงแม้ตอนนี้ผู้ประกาศข่าวในโทรทัศน์จะบรรยายถึงรายละเอียดของเนื้อความคดีถึงไหนต่อไหนแล้วก็ตาม เพราะตอนนี้ความสนใจของเธอทั้งถูกดึงไปที่จอภาพขนาดใหญ่ ซึ่งเป็นภาพชายหนุ่มที่นอนนิ่งอยู่ในโพรงหญ้า ใบหน้าของเขาถูกเบลอจนมองไม่เห็นเครื่องหน้า ใบหน้าสวยยิ่งขาวซีดขึ้นไปอีกเมื่อสายตาไปกระทบกับข้อมือที่รอดจากการเบลอทำให้เห็นชัดเจนทั้งข้อแขน หัวใจของเธอคงจะไม่กระตุกวูบเช่นนี้หากบนข้อมือนั้นไม่มีสายข้อมือสีแดงที่ฝั่งแน่นในความทรงจำเมื่อไม่กี่นาทีก่อน
ใช่แล้ว! มันคือเรื่องเดียวกัน ข่าวที่เธอดูในตอนนี้กำลังให้คำตอบเรื่องเหตุการณ์ก่อนหน้าที่เธอได้พบเจอ และเธอจะไม่เสียขวัญสักนิดหากเธอได้รับรู้ข่าวนี้ผ่านโทรทัศน์ไม่ใช่ประสบกับตัวอย่างเมื่อช่วงหัวค่ำ ร่างบางลดตัวลงนั่ง ช่างยากเย็นเหลือเกินที่จะจัดการกับความรู้สึกของตัวเองในตอนนี้ แม้จะไม่รู้จัก แต่เธอกลับรู้สึกสนใจกับเรื่องนี้จนตัวเองยังประหลาดใจ อาจเพราะเป็นครั้งแรกที่ต้องประสบกับเรื่องเช่นนี้ แม้อยากจะลบเรื่องที่เจอทั้งหมดเมื่อตอนหัวค่ำออกไปจากหัว หากแต่สมองของเธอกลับจดจำได้ทุกรายละเอียด
“ธูป พินิจพรรัตนโชติ” เสียงหวานครางออกมาเบาๆ อยากจะลบชื่อนี้ออกไปจากหัวเหลือเกิน