ร่างสูงใหญ่ในชุดลายพรางทาหน้าจนดำมืดเห็นแต่ดวงตาคมกริบ ในมือของเขามีมัจจุราชสีดำทรงประสิทธิภาพถือเอาไว้มั่น จากสายรายงานว่าวันนี้จะมีการลักลอบขนถ่ายยาบ้าจำนวนมหาศาล หลังจากที่เฝ้าดูการเคลื่อนไหวอยู่นานหลายเพลา วันนี้หัวหน้าหน่วยปฏิบัติการลับครั้งนี้อย่างพันตรีสุริยะ ต้องนำผู้ร่วมขบวนการกำจัดพวกที่หนักแผ่นดินให้สิ้นซาก
เมื่อได้จังหวะเหมาะผู้พันหนุ่มก็ส่งสัญญาณให้ทำการเข้าชาร์จ แต่พวกค้ายาไหวตัวได้ทันยิงต่อสู้กระหน่ำเข้าใส่ สองฝ่ายต่างยิงสวนกัน ในเมื่อผู้ก่อการร้ายต่อสู้ฝ่ายทหารก็ต้องโต้ตอบด้วยวิธีสุดท้ายซึ่งเด็ดขาดที่สุด
การโต้ตอบกันดำเนินไปได้ช่วงหนึ่ง สุริยะสังเกตเห็นพวกค้ายาถูกยิงล้มลงไปหลายคน เขายกมือขึ้นจูบบนแหวนที่สวมอยู่บนนิ้ว แหวนวงนี้ถือเป็นแหวนนำโชค เพราะเป็นแหวนที่คนรักสาวมอบให้ เขานึกถึงดวงหน้างาม ก่อนที่ความบ้าดีเดือดในตัวที่มีอยู่เต็มเปี่ยม จะทำให้เขาออกจากบังเกอร์นั่นคือต้นไม้ใหญ่
“ผู้พัน อย่าเข้าไปครับมันอันตราย”
“ถ้าไม่เข้าใกล้ แล้วจะปล่อยให้พวกมันถอยหนีเหรอ วันนี้ถ้ากูถล่มมันไม่ได้ กูขอยอมตายว่ะ กูมาเพื่อถล่มพวกมัน ไอ้พวกหนักแผ่นดิน มันไม่ควรจะอยู่บนผืนแผ่นดินไทยว้อย”
“ผู้พัน!”
ร่างสูงค่อยๆ วิ่งย่องเข้าไปใกล้ ทำให้ลูกน้องคนที่ร้องห้ามต้องตามเข้าไปช่วย ปล่อยให้พวกที่เหลือระวังหลังให้ การโต้ตอบยังคงดำเนินต่อไปเป็นชั่วโมง เพราะจำนวนคนในแก๊งค้ายามีจำนวนมาก แถมยังมีอาวุธครบมือกันทุกคน ที่สำคัญอาวุธของพวกมันเป็นอาวุธสงครามอีกด้วย ทำให้การต่อสู้นั้นยืดเยื้อไปหลายชั่วโมง จากตะวันที่อยู่กลางหัวจนเลยมาถึงกลางหลัง และลดต่ำลงเรื่อยๆ หลายชีวิตที่ล้มลงราวใบไม้ร่วง ทั้งฝ่ายแก๊งค้ายาและฝ่ายทหารหาญ
ร่างบางดิ้นไปมาบนเตียงคนไข้ในห้องพักฟื้นของโรงพยาบาล ใบหน้างามเต็มไปด้วยเม็ดเหงื่อเล็กๆ ที่ไหลรวมกันจนไรผมเปียกชื้น
เธอเดินอยู่บนเส้นทางที่ขรุขระ คล้ายเป็นถนนลูกรัง ด้านหลังมีเมฆหมอกดำทมึนก่อตัวสูงขึ้นเรื่อยๆ เหมือนพายุทอร์นาโดลูกใหญ่ ความกลัวทำให้เธอวิ่งหนีพายุที่หมุนไล่ตาม เหมือนเป็นผู้ร้ายไล่ล่า เธอวิ่งๆๆ แล้วจู่ๆ ก็มีเสียงปืนดังระรัว เสียงมันดังสนั่นจนเธอต้องยกมืออุดหู และรู้สึกว่าใบหูร้อนฉ่า
“กรี๊ด!!! ช่วยด้วย ใครก็ได้ช่วยด้วย จันทร์เจ้ากลัว พี่ยะช่วยด้วย”
เธอหวีดร้องเรียกหาคนรักที่เคยเป็นอัศวินขี่ม้าขาวมาช่วยเธอ แต่คราวนี้กลับไม่มีเงาของร่างสูงเข้ามาช่วย จันทร์ดาราจึงได้แต่วิ่งๆๆ แล้วร่างของเธอก็ลอยระลิ่วกระแทกพื้น เธอรู้สึกจุกที่หน้าอก จุก แน่น และเริ่มหายใจติดขัด หญิงสาวก้มลงมองหน้าอกของเธอ เห็นเลือดสีแดงสดไหลซึมออกมาจนเสื้อเปียกชุ่ม
“นี่เราโดนยิงเหรอ”
จันทร์ดาราถามตัวเองอย่างงงงวย ความเจ็บปวดทำให้เธอกำลังจะทนพิษบาดแผลไม่ไหว ดวงตาคู่สวยหรี่ปรือลงใกล้จะปิดสนิท
“จันทร์เจ้าลืมตาขึ้นที่รัก”
เสียงทุ้มหวานหูปลุกให้สติที่กำลังจะดับมืดตื่นขึ้นมา แล้วเธอก็เห็นร่างสูงสง่าในชุดลายพรางซึ่งทาหน้าดำปิ๊ดปี๋นอนอยู่ข้างๆ
“พี่ยะ! นายราหู ทำไมถึงมานอนอยู่ตรงนี้ได้”
ดวงตากลมกวาดมองหาสิ่งผิดปกติไปทั่วร่างหนา แล้วสิ่งที่เธอทำให้เธอแทบสิ้นสติ คนรักของเธอถูกยิงไปทั่วร่าง กายแกร่งนั้นเต็มไปด้วยเลือดที่ทะลักออกมาอย่างน่ากลัว
“พี่ยะ!!!” ความเจ็บปวดบริเวณหน้าอกจางหายไปอย่างรวดเร็ว จนเธอต้องก้มลงมองและเห็นว่าตอนนี้ร่างกายเธอไม่มีเลือดออก ไม่มีบาดแผลจากการถูกยิงเลยสักนิด
จันทร์ดารารีบรุดขึ้นพยุงร่างของคนรักเอาไว้บนตัก
“พี่ยะ ต้องไม่เป็นอะไรนะคะ พี่ยะอย่าทิ้งจันทร์เจ้าไปแบบนี้ พี่ยะ!!!!”
หญิงสาวร้องตะโกนเรียกคนรัก แต่เขาไม่ยอมลืมตาขึ้นมามองเธอเลยสักนิด เลือดของเขาออกมาก จากที่ร่างอุ่นๆ กลับเย็นลงอย่างไม่น่าเชื่อ
“หรือว่า...ไม่นะ พี่ยะ ไม่ พี่ยะต้องไม่ตาย พี่ยะ!!!นายราหู ตื่นสิ พระจันทร์จะอยู่ไม่ได้ถ้าไม่มีทั้งดวงอาทิตย์และราหูนะ ตื่นสินายราหู ไม่นะ ไม่!!!!”
“จันทร์เจ้า เป็นอะไรลูก”
ร่างบางทะลึ่งพรวดขึ้นจากที่นอน ดวงตาเบิกกว้างกวาดไปทั่วห้องพักฟื้น พอรู้ว่าตัวเองฝันไปก็ยกมือลูบหน้า ก่อนจะร้องไห้ออกมาอย่างขวัญเสีย
“จันทร์เจ้า...หนูฝันร้ายน่ะลูก ไม่มีอะไรนะ แม่อยู่นี่ทั้งคน”
คุณหญิงชดช้อยกอดร่างบางที่สะอื้นจนตัวโยนไว้แน่น แต่ยิ่งกอดก็ยิ่งทำให้ร่างบางร่ำไห้ จนผู้เป็นแม่ทำอะไรไม่ถูกได้แต่ลูบหลังลูบไหล่ไปตามเรื่อง และไม่ถามสิ่งที่เป็นสาเหตุทำให้ลูกสาวต้องขวัญหนีดีฝ่อเช่นนี้ รอให้เธอทำใจได้เสียก่อนแล้วค่อยตะล่อมถามเอาทีหลังก็ไม่สาย แต่ที่แน่ๆ เมื่อกี้สองหูของคุณหญิงชดช้อยได้ยินจันทร์ดาราเรียก “พี่ยะ” และ “นายราหู” ชัดเจน
เกิดอะไรขึ้นกับลูกสาวของเธอ ทำไมจันทร์ดาราถึงฝันร้าย และพี่ยะกับนายราหูคือใคร เป็นไปได้หรือไม่ว่าจะใช่พันตรีสุริยะ คนที่เข้าไปช่วยจันทร์ดาราออกมาจากผู้ร้ายกลางป่า ถ้าเป็นจริงแสดงว่าลูกสาวของเธอกับผู้พันหนุ่มคนนั้นมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งต่อกัน ถ้าอย่างนั้นก็แสดงว่า...
“คุณแม่คะ จันทร์เจ้ามาอยู่ที่นี่ได้ยังไงคะ”
เสียงของบุตรสาวปลุกให้มารดาหลุดจากความคิด คุณหญิงชดช้อยกะพริบตาปริบๆ ก่อนจะยิ้มน้อยๆ แล้วยกมือลูบผมนุ่มสลวยของบุตรสาว
“หนูเป็นลมน่ะลูก จันทร์เจ้า...มีอะไรอยากจะบอกแม่มั้ย”
คนเป็นมารดาตัดสินใจถามหญิงสาวด้วยความรู้สึกเป็นห่วงจับใจ
“ทำไมคุณแม่ถามจันทร์เจ้าแบบนี้ล่ะคะ แล้วนี่หนูกลับบ้านได้แล้วใช่มั้ยคะ”
“จันทร์เจ้า...คุณหมอบอกว่าหนูท้อง หนูอยากจะเล่าอะไรให้แม่ฟังบ้างมั้ยลูก”
คำว่า “ท้อง” ทำให้จันทร์ดารารู้สึกราวจะหมดแรง มันมีความรู้สึกหลายอย่างปนเปวิ่งวนไปมาในจิตใจ ความรู้สึกดีใจ ตกใจ และสุดท้ายหวาดกลัวประดังประเดกันเข้ามา
‘ท้อง! นี่เธอท้องงั้นเหรอ’
แล้วเมื่อกี้ ทำไมถึงฝันร้ายแบบนั้น หรือจะมีอะไรเกิดขึ้นกับคนรัก ถ้าเธอท้องแล้วลูกของเธอคงจะมาบอกว่า พ่อของเค้าตกอยู่ในอันตราย ขอให้เป็นแค่นั้น ขอให้คนรักกลับมาหาอย่างปลอดภัย
“จันทร์เจ้า”
“แม่คะ หนูท้องจริงๆ เหรอคะ”
“ใช่จ้ะ แต่ไม่ต้องกังวลนะลูก ตอนนี้ยังไม่มีใครรู้เรื่องนี้นอกจากคุณหมอและแม่ ทีนี้หนูจะเล่าเรื่องทุกอย่างให้แม่ฟังได้รึยังล่ะลูก”
คุณหญิงชดช้อนไม่ได้โกรธเคืองที่จันทร์ดาราปล่อยตัวปล่อยใจจนตั้งครรภ์ หน้าที่ของคนเป็นแม่ไม่ใช่หน้าที่ของการซ้ำเติมหรือตอกย้ำความเจ็บปวดของลูก แต่เป็นหน้าที่ที่ต้องสั่งสอนใส่ใจทุกความรู้สึกของลูก โดยเฉพาะจันทร์ดาราซึ่งไม่เคยทำให้พ่อแม่เสียใจมาก่อน และเรื่องที่เกิดขึ้นนี้ก็ไม่ควรจะเป็นเรื่องที่ทำให้พ่อแม่เสียใจ เธอพร้อมและยินดีจะรับฟังเรื่องทุกอย่าง ขอเพียงแต่ให้บุตรสาวพูดเล่าเรื่องทุกอย่างให้ฟัง จะได้หาทางช่วยเหลือกันต่อไป
จันทร์ดาราเริ่มเล่าเรื่องทุกอย่างที่เกิดขึ้นในป่าให้มารดาฟัง พอเล่าเสร็จเธอก็นั่งเงียบอย่างใช้ความคิด และรอคอยว่ามารดาจะว่ายังไงต่อ
“จันทร์เจ้า...ตอนนี้หนูต้องดูแลตัวเองและลูกในท้องให้ดีนะลูก อย่าเครียดหรือคิดมากมันจะเป็นผลเสียต่อลูกในท้อง แม่จะเลียบๆ เคียงๆ ถามคุณพ่อว่าผู้พันเป็นยังไงบ้าง และจะได้กลับมาเมื่อไหร่”
“หนูกลัวจังเลยค่ะคุณแม่ กลัวว่าจะเกิดเรื่องไม่ดีขึ้นกับพี่ยะ”
“ทำใจให้สบายลูก เนื้อคู่กันแล้วต้องไม่แคล้วกันไป คนดีๆ อย่างผู้พันยะ แม่เชื่อว่าคุณพระคุณเจ้าต้องคุ้มครอง”
จันทร์ดารากอดผู้เป็นมารดาแน่น ตอนนี้เธอไม่ไว้ใจใครนอกจากมารดา แม้แต่ตัวบิดาเองก็เถอะ เธอเกรงว่าพ่อของเธอจะไม่ยินดีรับสุริยะเป็นลูกเขย เนื่องจากฐานะครอบครัวของเขาก็อยู่ในระดับปานกลางเท่านั้น แต่หญิงสาวก็ข่มความกังวลทุกอย่างและภาวนาขอให้คนรักปลอดภัย มือน้อยลูกหน้าท้องที่ยังแบนราบไปมา
‘ลูกของแม่ ช่วยปกป้องคุ้มครองพ่อของลูกด้วยนะจ๊ะ’