บทนำ
“ลั่นระฆังวิวาห์สายฟ้าแลบ ! หลังจากมีภาพของพระเอกหนุ่มเอ้ก ชิษนุชากำลังคุกเข่าต่อหน้านางเอกสาวดารัน ท่ามกลางบรรยากาศสุดโรแมนติก พร้อมกับบรรดาเพื่อน ๆ ที่ถือช่อดอกไม้รายรอบคนทั้งคู่ และยังมีคำขอแต่งงานสุดคลาสสิกฉายบนจอขนาดใหญ่กลางกรุงว่า will you marry me หลุดออกมาจากไอจี นักข่าวของเราจึงรีบติดต่อไปสอบถามคนใกล้ชิดของทั้งคู่ ได้ข่าวมาว่าสิ้นปีนี้แต่งแน่...!”
ตะวันฉาย ฉายตะวัน กดรีโมตปิดโทรทัศน์ขนาดห้าสิบนิ้วตรงหน้า ก่อนจะใช้นิ้วคลึงที่บริเวณขมับเมื่อรู้สึกปวดตุบ ๆ ขึ้นมาเสียดื้อ ๆ ข่าวการประกาศแต่งงานสายฟ้าแลบของดาราในประเทศนี้ไม่เคยเป็นที่สนอกสนใจของเขามาก่อน ไม่ว่าจะท้องก่อนแต่งหรือแต่งก่อนท้อง พระเอกช่องมากสีจะแต่งกับนางร้ายช่องน้อยสีเขาไม่เคยสนใจ
ข่าวเมื่อครู่ก็ควรจะเป็นข่าวทั่วไปที่เขาจะไม่เก็บมาใส่ใจเหมือนที่ผ่านมา แต่นั่นต้องไม่ใช่ดารัน รุ่งเรืองอัศวสุข แฟนคนปัจจุบันของเขา !
เรียวคิ้วดำขลับรับกับดวงตาดุจลูกแก้วสีรัตติกาลกำลังขมวดแน่น ตะวันฉายเสยผมที่ปรกหน้าก่อนจะขยี้มันแรง ๆ อีกครั้งเพื่อเรียกสติ เขาไม่เคยคิดว่าจะต้องมาเจอเรื่องแบบนี้ด้วยซ้ำ แม้ก่อนหน้านี้จะมีข่าวระหว่างชิษนุชากับดารันให้เห็นบ้าง
แต่แฟนสาวของเขาก็ยืนยันแล้วว่านั่นเป็นเพียงกลไกหนึ่งของวงการบันเทิง ที่มักจะจับคู่พระนางที่รับบทคู่กันเท่านั้น และตัวเธอเองก็เข้าข่ายข้อนี้ด้วย ลึก ๆ แล้วตะวันฉายก็ไม่พอใจที่แฟนสาวตัวเองมีข่าวควงอยู่กับคนอื่น แต่เพราะไม่ค่อยสนใจข่าวบันเทิงจึงทำเป็นมองไม่เห็นเสีย...
ความรักของเขากับดารันมันปกติทุกอย่าง...เมื่อวานเธอยังแวะมาค้างกับเขาที่นี่ แล้ววันนี้เธอกลับไปแต่งงานกับคนอื่น นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน !
ตะวันฉายกับดารันพบกันตั้งแต่ทั้งคู่เรียนปริญญาโทด้านการบริการการเงินและการบัญชีที่ประเทศอังกฤษ หลังจากเรียนจบหญิงสาวก็กลับมาประเทศไทยก่อนจะได้รับการติดต่อให้ไปเล่นละคร ส่วนเขาได้ทำงานในตำแหน่งผู้บริหารของธนาคารแห่งหนึ่ง แล้วถูกย้ายไปประจำการที่ญี่ปุ่น
งานของเขาต้องเดินทางไปติดต่อธุรกิจหลายประเทศทั่วโลก ขณะที่งานของเธอก็แทบจะไม่มีเวลาเช่นกัน ในหนึ่งปีตะวันฉายจะมีโอกาสกลับมาเยี่ยมบ้านเพียงไม่กี่ครั้ง และเป็นช่วงระยะเวลาสั้น ๆ การพบกันระหว่างเขากับเธอจึงน้อยมาก แต่กระนั้นก็ไม่ได้ขาดการติดต่อแม้แต่วันเดียว
กระทั่งเดือนก่อน...เขาได้รับอนุมัติให้กลับมาประจำการที่ประเทศไทย ตะวันฉายใช้เงินเก็บครึ่งหนึ่งในการซื้อบ้านราคายี่สิบล้าน เพื่อใช้ในการสร้างครอบครัวกับคนที่เขารัก...แต่เหมือนมันเป็นละครฉากหนึ่งที่พึ่งจบไป หลายเรื่องที่ระแคะระคายมาตลอดหลายปีเหมือนจะได้คำตอบในวันนี้
ชายหนุ่มขยับลุกขึ้นยืนก่อนจะสวมแว่นตาจากนั้นก็ต่อสายหาใครคนหนึ่ง เมื่อปลายสายรับเขาก็กรอกเสียงไปว่า
“ช่วยประกาศขายบ้านหลังนั้นให้ผมที...ด่วนที่สุด อ้อ ส่งแบบฟอร์มใบลาออกให้ผมด้วย...เดี๋ยวนี้ พรุ่งนี้ผมจะเอาเข้าไปยื่นที่บริษัท ไม่ต้องห่วงผมจัดการเองได้...”
หลังจากวางสายชายหนุ่มก็ต่อสายหาดารันอีกครั้ง หลังจากลองโทร.หาแล้วเมื่อเช้าแต่เธอปิดเครื่อง สายนี้เป็นสายที่ร้อยแล้วกระมัง ที่เขาพยายามติดต่อผู้หญิงคนนั้น และสายนี้จะเป็นสายสุดท้ายที่เขาจะโทร.หาเธอ
“กรุณาฝากข้อความ...”
“ผมคิดเสมอว่าเรารักกัน...แต่ผมคิดผิด ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาคุณหลอกให้ผมรอ หลอกให้ผมสร้างทุกอย่างเพื่อเรา...ผมต้องทำงานหนักเพื่อหวังว่าวันหนึ่งที่เราแต่งงานกันคุณจะไม่ต้องลำบาก แต่วันนี้ความพยายามของผมมันสูญเปล่า...ผมให้โอกาสคุณเสมอมา แต่สิ่งที่คุณทำในวันนี้มันทำให้ผมคิดได้ว่าโอกาสที่มักหยิบยื่นให้บ่อยครั้งมันกลับกลายเป็นสิ่งไร้ค่า...ผมเสียใจ...มันจุกจนพูดไม่ออก แต่ผมไม่ใช่เด็กหนุ่มที่จะต้องมาฟูมฟายให้กับความรัก...ผมอายุปาเข้าไปสามสิบแล้ว แต่สิ่งที่ผมเสียใจมากที่สุดคือการที่ผมเสียเวลากับความรักเฮงซวยนี่ !”
แววตาเรียบนิ่งจ้องมองไปยังกรอบรูปที่วางอยู่ตรงหน้า เป็นรูปของดารันกับเขาในอิริยาบถต่าง ๆ ก่อนที่เขาจะพูดด้วยน้ำเสียงปรกติต่อไปว่า
“ผมพยายามติดต่อคุณไปเพียงเพราะอยากให้คุณพูดตัดความสัมพันธ์กับผม...สมองของผมมันจะได้เลิกหวังสักทีว่าคุณจะกลับมา แต่ไม่เป็นไร ถ้าคุณไม่พูด ผมจะเป็นคนพูดเอง...เรื่องระหว่างคุณกับผมขอให้มันจบลงแค่นี้...”
ตะวันฉายรู้สึกเจ็บจนจุกที่ต้องพูดคำนี้ออกมาด้วยตัวเอง...เขาเฝ้ารอดารันโทร.มาอธิบายเรื่องนี้ตั้งแต่เช้า บรรดาเพื่อน ๆ ของเขาพยายามถามเรื่องที่เกิดขึ้น ทว่าชายหนุ่มกลับพยายามบอกตัวเองว่าบางทีดารันอาจจะไม่ได้ตอบตกลงก็ได้ หรือมันอาจจะเป็นการสร้างกระแสให้ละครของคนทั้งคู่...
กระทั่งข่าวต่าง ๆ เริ่มออกมาจนมันแน่ชัดมากขึ้น...มันทำให้ตะวันฉายเริ่มกลับมาคิดว่าเรื่องพวกนี้มันเป็นเรื่องอะไรกันแน่ อย่างที่เขาบอก ตอนนี้เขาอายุสามสิบแล้ว ไม่ใช่เด็กหนุ่มที่จะต้องมาร้องไห้ฟูมฟายกับการผิดหวังในความรัก ทว่าหัวใจมันก็ยังเจ็บ ไม่ใช่ว่าเขาไม่พยายามที่จะยื้อความสัมพันธ์ในครั้งนี้ แต่เขายื้อมันมาตลอด...
เขาหลอกตัวเองว่าทุกอย่างมันจะดีขึ้นเมื่อเขากลับมาที่ประเทศไทย...
“ขอให้คุณมีความสุข...มีความสุขมากเท่ากับความทุกข์ที่ผมกำลังได้รับอยู่ตอนนี้...”
เสียงกริ่งหน้าประตูดังขึ้นพร้อมกับที่ชายหนุ่มร่างสูงสวมแว่นตาสีชา ในมือมีแฟ้มเอกสารที่กำลังหอบหิ้วเข้ามาในร้าน พนักงานชายหญิงที่กำลังทำหน้าที่เสิร์ฟกาแฟอยู่หยุดทำงานก่อนจะเอ่ยทักทายเป็นเสียงเดียวกันว่าสวัสดีครับ สวัสดีค่ะ
ตะวันฉายเดินเข้าไปนั่งยังมุมหนึ่งที่ค่อนข้างเงียบและไม่ค่อยมีคนก่อนจะสั่งกาแฟแล้วหันกลับมาสนใจงานตรงหน้าต่อ เพราะว่าลาออกกะทันหันเลยต้องเคลียร์งานที่คั่งค้างอยู่ให้เรียบร้อย ซึ่งมีไม่มากเพราะเขาพึ่งย้ายมาประจำการอยู่ที่ประเทศไทยได้ไม่นาน
ตอนแรกทางเจ้านายเขายื่นขอเสนอให้ทำงานต่อพร้อมกับจะปรับเงินเดินให้ หรือถ้าเขามีข้อเสนอใด ๆ ให้แจ้งความจำนงมาได้ แต่สิ่งเหล่านั้นไม่ใช่สิ่งที่ตะวันฉายต้องการ เขายืนยันเหมือนเดิมว่าอย่างไรเสียเข้าก็จะลาออก ใช้เวลาอยู่นานกว่าฝ่ายนั้นจะยอม ความจริงเขาต้องยื่นใบลาออกก่อนหนึ่งเดือนตามข้อตกลงที่ทำเอาไว้
พอจัดการเรื่องทุกอย่างเรียบร้อยเขาก็เดินทางลงมาที่จังหวัดบ้านเกิดทันที โดยไม่ได้บอกใครก่อนแม้แต่นายแม่ ความจริงนายแม่ของเขาเคยขอร้องให้เขาลาออกมาทำงานที่บ้านหลายต่อหลายครั้ง แต่เขายืนยันที่จะทำงานกับบริษัทเดิมมาโดยตลอด อย่างหนึ่งก็เพราะต้องการเครือข่าย อีกอย่างคือประสบการณ์จากการทำงานที่ได้รับ
พอวันหนึ่งที่ตะวันฉายต้องกลับมารับหน้าที่ดูแลกิจการต่าง ๆ ของที่บ้านเขาก็จะมีความรู้ความสามารถมากพอที่จะดูแลทรัพย์สมบัติที่บรรพบุรุษสร้างมาได้โดยที่ไม่ทำให้มันต้องเจ๊งไปอย่างในหลาย ๆ กรณีที่พบบ่อย ๆ ในปัจจุบัน เมื่อไหร่ที่ธุรกิจถูกส่งต่อและทายาทไม่มีความรู้ความสามารถมากพอที่จะนำพาบริษัทให้ก้าวหน้าได้เมื่อนั้นย่อมถึงทางตัน และเขาไม่อยากให้มันเกิดกรณีอย่างนั้นกับธุรกิจที่พ่อกับแม่เขาสร้างมันมาด้วยความยากลำบาก
เสียงกริ่งหน้าประตูดังขึ้นอีกครั้งพร้อมกับที่นักศึกษาสาวผมยาวคนหนึ่งกำลังเดินเข้ามาด้วยรอยยิ้ม หญิงสาวยกมือไหว้ทักทายพนักงานคนอื่น ๆ ในร้านก่อนจะเดินเข้าไปที่หลังร้านเพื่อเปลี่ยนเสื้อผ้า
เป็นกิจวัตรประจำวันของ ปลายฟ้า มาลาสวัสดิ์ ที่หลังจากเลิกเรียนแล้วต้องรีบมาทำงานที่ร้านกาแฟหน้ามหาวิทยาลัย โดยจะทำงานในช่วงหน้าโมงเย็นถึงสองทุ่มในวันปกติ จะมีวันหยุดคือวันจันทร์ของทุกสัปดาห์ ช่วงวาลานั้นปลายฟ้าจะรับสอนพิเศษให้กับเพื่อน ๆ และนักเรียนมัธยมปลายที่ต้องการเรียนเสริมหรือเรียนเพื่อเตรียมสอบเข้ามหาวิทยาลัย ส่วนวันเสาร์อาทิตย์หญิงสาวต้องกลับบ้านเพื่อไปช่วยงานนายแม่
“สวัสดีค่ะพี่เจต วันนี้ทำไมถึงมาร้านเร็วกว่าปกติคะ” หล่อนเอ่ยทักเจ้าของร้าน ชายหนุ่มยิ้มขำเมื่อถูกทักอย่างนั้น เพราะปกติแล้วเขาจะมาช่วงหนึ่งทุ่มก่อนร้านปิดเป็นส่วนใหญ่
“จะมาดูว่ามีพนักงานคนไหนอู้หรือเปล่าสิ”
“พนักงานที่นี่ไม่มีใครเขาอู้หรอกค่ะ ทุกคนทำงานแบบพลีกายถวายชีวิตทั้งนั้น” หญิงสาวพูดพร้อมยิ้มกว้าง เจษฎาเป็นเจ้าของร้านกาแฟที่ใจดีที่สุดเท่าที่ปลายฟ้าเคยพบ หญิงสาวเริ่มทำงานหลังเลิกเรียนมาตั้งแต่เรียนอยู่ชั้นปีที่สอง ไม่ว่าจะร้านอาหารญี่ปุ่น ร้านเค้ก หรือว่าร้านหนังสือผ่านมือปลายฟ้ามาแล้วทั้งสิ้น
แต่ไม่เคยเจอเจ้าของร้านคนไหนจะใจดีเท้าผู้ชายตรงหน้าหล่อนสักคน เพราะพี่เจตอนุญาตให้ปลายฟ้ามาทำงานตอนไหนก็ได้ที่ว่าง บางวันติดเรียน หรือติดทำกิจกรรมอื่น ๆ ก็สามารถขอลาหยุดได้โดยไม่โดนซักถามว่าไปทำอะไรที่ไหน ความใจดีของเจ้าของร้านกาแฟทำให้ปลายฟ้าทำงานที่นี่มาได้ครบหนึ่งปีกับอีกหกเดือนแล้ว
“จ้ะ สอบเสร็จวันไหนเรา” เจษฎานั่งลงที่โต๊ะทำงานก่อนจะถามขึ้นขณะที่ปลายฟ้ากลับออกมาจากห้องเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้ว
“สอบเสร็จวันพฤหัสนี้ค่ะ”
หญิงสาวผูกผ้ากันเปื้อน ก่อนจะติดป้ายชื่อที่เสื้อแล้วเงยหน้าขึ้นมายิ้ม เจษฎาบอกให้เธอหยุดเพื่อไปอ่านหนังสือสอบได้จนกว่าจะสอบเสร็จ แต่ปลายฟ้าเตรียมพร้อมแล้วทุกวิชาจึงไม่มีวิชาไหนน่าเป็นห่วง อีกอย่างสอบเสร็จแล้วก็ไม่ได้ทำอะไรสู้เอาเวลาว่างตอนนั้นมาทำงานยังดีเสียกว่า
“สอบเสร็จแล้วกลับบ้านเลยหรือเปล่า”
“ยังไม่กลับค่ะ จะอยู่ทำงานจนถึงวันศุกร์แล้วค่อยกลับบ้านเสาร์อาทิตย์เหมือนเดิม” หญิงสาวมองนาฬิกาเหลือเวลาอีกยี่สิบนาทีถึงจะเริ่มเข้างาน ทว่าปกติแล้วปลายฟ้าก็มักจะเข้างานก่อนเวลาเสมออยู่เป็นประจำ จนพนักงานคนอื่น ๆ ออกปากแซ็วกันว่าเธอควรได้รางวัลพนักงานดีเด่นแห่งปีไปครอง
“สอบเสร็จแล้วก็เรียนจบใช่มั้ย...”
“ใช่ค่ะ...แต่ฟ้ายังไม่ลาออกหรอกนะคะ เดี๋ยวพี่เจตคิดถึง” หล่อนว่าพร้อมกับหัวเราะร่วน
“ไม่ต้องลาออกดีแล้ว ถ้าฟ้าลาออกพี่คงคิดถึงอย่างที่ฟ้าบอกจริง ๆ นั่นแหละ” ภายในห้องพักพนักงานเงียบไปครู่หนึ่งเมื่อน้ำเสียงของเจษฎาดูจริงจังขึ้น แววตาที่มองหญิงสาวไม่ได้มีความรู้สึกว่าสิ่งที่เขาพูดเป็นการหยอกล้อเหมือนอย่างที่เธอทำเมื่อครู่
“ฟ้า...ไปทำงานนะคะ” หญิงสาวอึกอักเล็กน้อยก่อนจะหมุนตัวเดินออกไปยังด้านนอกร้าน พอมาถึงก็เห็นพี่นุชกับเนตรยืนกุมมือกันชี้อะไรบางอย่างอยู่ ปลายฟ้าจึงทักขึ้นว่า
“ดูอะไรกันหรือคะ สาว ๆ” สองสาวสะดุ้งสุดตัวก่อนจะหันมาตีที่แขนปลายฟ้าเบา ๆ
“ดูลูกค้าโต๊ะนั้นนะสิ...คนอะไรทำไมหล่ออย่างกับดารา พูดก็พูดเถอะ ตั้งแต่มาอยู่ที่นี่พี่ยังไม่เคยเจอใครหล่อขนาดนี้มาก่อนเลย” นุชนาถพูดด้วยแววตาเพ้อฝัน ราวกับได้เพชรสิบกะรัตอย่างไรอย่างนั้น
“เนตรชอบผู้ชายแบบนี้ ดูมีอายุ แต่ก็ยังหล่อ ท่าทางดูภูมิฐานไม่เบา คงจะเป็นนักธุรกิจหรือไฮโซแน่ ๆ” เนตรนภาเป็นรุ่นน้องที่เรียนในมหาลัยเดียวกันกับปลายฟ้า แต่เรียนคนละคณะกัน หญิงสาวเองก็มีทีท่าไม่ต่างกันกับนุชนาถ แววตาดูเพ้อพกราวกับว่าเขามานั่งคุกเข่าตรงหน้าขอเธอแต่งงานอย่างนั้นแหละ
“ไปทำงานได้แล้วจ้ะสาว ๆ วันนี้เจ้านายมาสังเกตการณ์นะ” ปลายฟ้าบุ้ยใบ้ไปยังเจษฎาที่กำลังเดินออกมา ขณะที่แม่สองสาวก็สลายตัวทันที ผู้ชายคนนั้นก้มหน้าก้มตากับกองเองสารตรงหน้าทำให้มองเห็นไม่ชัดนัก แต่รู้สึกหน้าคุ้น ๆ เหมือนรู้จัก ประกอบกับมุมที่เขานั่งมีต้นไม้บังด้วยปลายฟ้าจึงไม่ค่อยเห็น
ลูกค้าเข้ามาใหม่อีกหลายคนดึงความสนใจของพนักงานเสิร์ฟสาวไปจนหมดสิ้น กว่าจะรู้ตัวอีกทีก็เลิกงานแล้ว และผู้ชายคนนั้นก็ออกไปจากร้านตอนไหนปลายฟ้าก็ไม่รู้ ได้ยินแต่เสียงบ่นเสียดายของพี่นุชกับเนตร หญิงสาวส่ายหน้าเบา ๆ ก่อนจะยิ้มขำขณะที่ยกเก้าอี้ขึ้นบนโต๊ะแล้วเก็บกวาดทำความสะอาดร้านก่อนจะกลับหอ
ปลายฟ้าแวะซื้อข้าวไข่เจียวหน้าปากซอยก่อนกลับ อาหารง่าย ๆ ในวันที่รู้สึกว่าเหนื่อยเกินกว่าจะทำอะไรกินเองได้ วันนี้ลูกค้าเยอะมากเป็นพิเศษ ยิ่งช่วงสอบอย่างนี้นักศึกษาหลายคนเลือกร้านกาแฟเป็นที่อ่านหนังสือ ร้านของเจษฎามีพื้นที่บริเวณกว้างและมีโซนให้อ่านหนังสือได้ด้วยจึงเป็นที่นิยมของบรรดานักศึกษาทั้งหลาย
หญิงสาวหยิบสมุดรายรับรายจ่ายขึ้นมาจดรายการต่าง ๆ ก่อนจะลองคำนวณดู พอคิดได้ว่าวันที่เหลือไม่ต้องใช้เงินที่นายแม่ให้รายเดือนแล้ว ปลายฟ้าก็รวมยอดรายจ่ายทั้งหมด แล้วบันทึกเอาไว้ให้เรียบร้อย วันอาทิตย์นี้เป็นวันสิ้นเดือนดังนั้นรายรับรายจ่ายทั้งหมดของเดือนนี้ต้องส่งให้นายแม่
“เดือนนี้ใช้ไปห้าพัน...เหลือหนึ่งหมื่นบาท” หล่อนรวมรายจ่ายทั้งหมดแล้วจึงปิดสมุดแล้วเก็บเข้าลิ้นชักดังเดิม
ปลายฟ้าจัดการกับข้าวไข่เจียวในกล่อง พร้อมกับมองกรอบรูปผู้ชายตรงหน้าไปด้วย...พลันให้นึกถึงข้าวไข่เจียวที่คุณใหญ่ไม่ชอบ...
“ทำอย่างอื่นเป็นมั้ยนอกจากไข่เจียว ฉันไม่ชอบ...” เด็กหนุ่มในชุดมัธยมปลายตวัดสายตามองเด็กหญิงตรงหน้าก่อนจะพูดด้วยสุ้มเสียงที่ไม่พอใจนัก
“คุณใหญ่จะทานอะไรคะ...” เด็กหญิงเก็บจานไข่เจียวมาถือไว้ในมือแล้วถามขึ้น วันนี้นายแม่กับพี่นวลออกไปข้างนอก ไม่มีใครอยู่บ้าน คุณใหญ่กลับจากโรงเรียนหิวใหญ่ พอมาถึงห้องครัวไม่มีอาหารจึงโมโหตวาดลั่นจนปลายฟ้าต้องรีบเข้ามาที่เรือนใหญ่อีกครั้งหลังจากเอากระเป๋านักเรียนไปเก็บ
“อะไรก็ได้ที่ไม่ใช่ไข่เจียว...” จมูกโด่งเป็นสันมีรอยแผลเด่นชัด ใบหน้าหล่อของคนตรงหน้ามีรอยถลอก มุมปากบวมเจ่อคงพึ่งไปมีเรื่องชกต่อยมา
“ผัดกะเพราได้มั้ยคะ...จะได้ไม่ต้องรอนาน” เธอแอบพิจารณาใบหน้าปูดบวมนั้น ก่อนจะรีบก้มหน้าลงต่ำเมื่อคุณใหญ่หันมามองด้วยแววตาคมกริบ
“ก็ได้...แต่ห้ามใส่พริกกับใบกะเพรา กระเทียมก็ไม่ใส่...” ปลายฟ้ารับคำก่อนจะเดินกลับเข้าไปทำผัดกะเพราไม่ใส่กะเพราให้คุณใหญ่อีกครั้ง ก่อนจะยกกลับมาเสิร์ฟในอีกครู่ต่อมา ตะวันฉายรับจานข้าวไปกินเงียบ ๆ ขณะที่ปลายฟ้ายังยืนอยู่ที่เดิม เด็กหญิงอยากจะเอ่ยปากพูดหลายครั้งทว่ายังไม่กล้า ได้แต่จด ๆ จ้อง ๆ จนคนที่นั่งอยู่ถึงกับออกปากว่า
“มายืนทำไม...เสร็จแล้วก็ออกไปได้แล้ว”
“คือ...คุณใหญ่จะทำแผลมั้ยคะ”
“ไม่ต้องมายุ่ง...ฉันไม่ได้ขอ กลับออกไปได้แล้ว...” ปลายฟ้าเดินกลับออกไปจากบ้านใหญ่ เพื่อไปที่เรือนนอนของเธอที่อยู่หลังบ้าน พร้อมกับความเป็นห่วงที่มีต่อผู้ชายคนนั้นที่ยังค้างอยู่ในใจ
เมื่อเช้าคุณใหญ่ยังดี ๆ อยู่เลย พอกลับมาตอนเย็นหน้าก็มีแต่รอยเขียวช้ำเต็มไปหมด...