ยามเมื่อต้นท้อไหวเอนตามสายลม
กลิ่นของดอกไม้นานาพันธุ์กระทบจมูก
แสงแดดยามบ่ายทอแสงเหนือฟากฟ้า
ใบหน้าแสนอบอุ่นของเขาทำให้ฉันชะงักงัน
ราวกับนี่คือความฝันในบัดดล…
บทนำ
เสียงเร่งฝีเท้าดังตัดกับสายฝนที่ตกลงมาอย่างบ้าคลั่ง รองเท้าสีดำราคาแพงเปรอะเปื้อนไปด้วยโคลนตมจนหมดค่า เสื้อนอกสีเขียวอ่อนโดนฝนเปียกปอนจนโปร่งทะลุเห็นเรือนร่าง เสียงหอบหายใจดังขึ้นเรื่อยๆแข่งกับสายฝนแสดงให้เห็นว่าร่างกายนั้นจวนจะถึงขีดจำกัด แม้จะรุดหน้าฝ่ายที่กำลังตามหลังมามากเพียงใดก็ตาม ถึงกระนั้นร่างนี้ก็ยังคงวิ่งต่อไปเต็มกำลังของตนเท่าที่มี
ได้ยินเสียงม้าส่งเสียงร้องเมื่อมันถูกกระตุ้นแว่วมาแต่ไกล อีกทั้งเสียงฝีเท้าของม้าหลายตัววิ่งตามหลังอย่างกระชั้นชิดพร้อมกับกลิ่นชื้นแฉะของดินโคลนโชยลอยตามหลังมา เจ้าของร่างเหลียวหลังกลับมาดูสถานการณ์ข้างหลังพบทหารม้าจำนวนห้านายควบม้าพุ่งเข้าหาตนอย่างรวดเร็ว นายทหารผู้หนึ่งใช้แส้ในมือกระตุ้นม้าให้วิ่งรุดหน้ามากยิ่งขึ้น
“มันจะต้องไม่เป็นแบบนี้แน่….” เจ้าของร่างที่กำลังวิ่งเอ่ยกับตนเองก่อนหันไปมองข้างหน้าแล้วเร่งความเร็วของฝีเท้าให้เร็วยิ่งขึ้นกว่าเดิมแม้จะตระหนักได้ว่าร่างกายของตนอาจจะรับขีดจำกัดไม่ไหวและพังทลายลงโดยง่ายก็ตาม
เสียงที่เปล่งออกมาจากริมฝีปากสั่นระริกแผ่วเบาลงด้วยความขลาดกลัว ดวงตาที่หรี่ลงพร้อมกับหยาดน้ำตาไหลผสมกับสายฝนปนเปหยดลงริมฝีปากจนเค็มปร่า ฉับพลันเท้าทั้งคู่กลับถูกเชือกของหนึ่งในทหารม้าเกี่ยวมัดเอาไว้อย่างรวดเร็วจนเจ้าของร่างสะดุดล้มลงในทันที โคลนตมแผ่กระจายทั่วบริเวณ
ร่างเปียกลู่นั่นแน่นิ่งสนิทด้วยความอ่อนล้าในขณะที่มืออีกข้างยังกุมหน้าอกของตนเอาไว้หมายจะบดบังของที่ตนแอบซ่อนเอาไว้ เร้นสายตามิให้นายทหารผู้นั้นสังเกตเห็นและมืออีกข้างจิกลงพื้นโคลนจนมันพุ่งกระเด็นเปรอะเปื้อนใบหน้า หนังตาที่เริ่มหน่วงเพราะแรงฝนที่สาดเทลงมาและความเหน็ดเหนื่อยจากการวิ่งที่แสนยาวนาน ดวงตาเริ่มพร่ามัวลงเรื่อยๆพร้อมกับสติที่กำลังจะมอดดับลง
“เราจับตัวมันได้แล้ว!” เสียงนายทหารผู้หนึ่งบนหลังม้าโห่ร้องขึ้น เขายกมือข้างขวาขึ้นสูงและมืออีกข้างดึงบังเหียนม้าให้มันส่งเสียงร้องเป็นสัญญาณว่าการไล่จับนั้นสิ้นสุดลงแล้ว พรรคพวกนายทหารอีกสี่นายควบม้าวิ่งตามมาทีหลัง เสียงกุบกับที่ดังเข้ามากระชั้นชิดยิ่งเร่งทำให้เจ้าของร่างที่ถูกจับตัวต้องกระเถิดตัวหนีไปข้างหน้าแล้วข่มตาร้องโวยวายสุดเสียง
“..อย่าเข้ามานะ ไปให้พ้น!” เจ้าของร่างตัวสั่นสะท้านด้วยความเย็นจากไอฝนและความหวาดผวา พยายามเค้นสุดเสียงสร้างพลังใจให้แก่ตนเอง อีกทั้งยังลืมตาขึ้นมองจุดหมายเบื้องหน้าอย่างมุ่งมั่น เหลือเพียงแค่นิดเดียวแท้ๆก็จะถึงจุดหมายแล้ว
“เจ้า…”ทหารนายนั้นมองร่างที่พยายามตะเกียกตะกายไปข้างหน้าด้วยสีหน้าประหลาดใจแต่กระนั้นก็ยังดึงเชือกในมือของตนกระตุกจนร่างที่อยู่บนพื้นร้องด้วยโอดโอยความเจ็บปวด
…แม้ความเจ็บปวดจะแล่นผ่านมากน้อยเพียงใดแต่ยังไม่สาเท่าใจตนที่กำลังเดือดพล่าน นึกแค้นใจตัวเองยิ่งนักทั้งที่แม้จะอยู่ใกล้แค่เอื้อมแต่ทำไมตนกลับไปไม่ถึง
เจ้าของร่างผละมือออกจากหน้าอกของตนก่อนจะยื่นมันออกไปข้างหน้าราวกับกำลังไขว่คว้าอะไรบางอย่างในอากาศ เป้าหมายนั้นอยู่ไม่ไกลเกินเอื้อม ถ้าหากไปถึงที่นั่นตอนนี้แล้วล่ะก็…
สายตาของเจ้าของร่างยังคงทอดมองไปที่ถนนข้างหน้าอย่างโหยหา มือที่เคยจิกพื้นโคลนอีกข้างกลับงองุ้มเข้าหากันเป็นกำปั้นแล้วทุบลงในโคลนถนนอย่างเต็มแรงด้วยความอดสูใจ สะเก็ดโคลนกระเด็นกระดอนไปทั่วบริเวณเปรอะเปื้อนจนสกปรก ก่อนจะอ้าปากร้องตะโกนสุดเสียง หากนี่จะเป็นวิธีสุดท้ายแล้ว
…เมื่อไร้ทางหนีทางเดียวที่จะรอดพ้นนั่นก็คือขอความเห็นใจจากฟ้าดิน!
“ข้าจะไม่ยอมแพ้!! ไม่ว่ายังไงข้าจะต้องเปลี่ยนแปลงอดีตให้ได้!! ข้าสัญญา!!!”
เสียงกู่ก้องคำรามนั้นดังลั่นไปทั่วบริเวณพร้อมกับเสียงอสุนีบาตฟาดผ่าลงมาราวกับฟ้าดินได้รับรู้คำขอนี้