เปรียบได้ดั่งหมอหญิงผู้เย็นชาแห่งลั่วเหยา เพราะแม้จะรู้ว่าเฉียนเทียนเป็นอ๋อง แต่นางก็หาได้สมัครใจยอมรักษาคนป่วยเจียนตายเพราะอาการช้ำรักเช่นเขาไม่
หรูเฉวียหน้าแดงหนักขึ้น นึกโกรธตัวเองที่ปล่อยให้สาวรับใช้ปั่นหัวจนต้องเดินมาเหยียบหลุมพรางของเขาเข้าจนได้ ยามนี้ผู้ที่ตกทุกข์ก็คือนาง ผู้ที่รอดพ้นความลำบากก็คืออี้ฉิน เช่นนี้แล้วต้องเรียกว่าบัณฑิตแบกหญ้าให้ลากินย่อมมิผิด
“ถ้าท่านยอมให้ข้าออกไปจากห้อง โดยที่ท่านสัญญาว่าจะไม่แพร่งพรายเรื่องนี้แล้วล่ะก็ ข้าหรูเฉวียสาบานว่าจะไม่เอาเรื่องท่าน”
“เห็นทีท่าจะยาก เพราะตอนที่ข้านำเจ้าเข้ามาในห้องนี้ คนทั้งหอนางโลมก็ล้วนแต่คิดว่าข้าเสพสมกับชายหนุ่ม ดังนั้นหากข้าจะยอมปล่อยให้เจ้าเดินออกไปจากห้องโดยที่ปล่อยให้ตนเองรับกรรมเพียงลำพัง ข้าว่ามันไม่ถูก เพราะอย่างน้อยข้าไม่ได้เป็นฝ่ายรบเร้าให้เจ้ามาหา”
“ท่าน ท่านยังเป็นลูกผู้ชายอยู่หรือไม่”
“ข้าย่อมเป็นลูกผู้ชายแน่นอน เมื่อคืนเจ้าเองก็เป็นผู้พิสูจน์แล้วมิใช่หรือ ว่าข้านั้นเป็นชายหนุ่มเต็มตัวและเลือดร้อนเพียงใด”
“ท่าน ช่างไร้ยางอายนัก รังแกสตรีอ่อนแอเช่นข้าแล้วยังกล้าตีฝีปากกับข้าอย่างไม่ละอายอีก”
เฉียนเทียนพรายยิ้มยั่ว “เรื่องตบตีกับอิสตรีข้าไม่ถนัด แต่ถ้าหากเป็นเรื่องบดจูบริมฝีปากสตรีผู้อ่อนแอเช่นเจ้าล่ะก็ข้าถนัดยิ่งนัก ว่าอย่างไรเล่าอยากให้ข้าช่วยทบทวนกลอนวสันต์เมื่อคืนอีกสักรอบหรือไม่เล่าภรรยา”
หรูเฉวียจำต้องนิ่งสงบปากเพราะริมฝีปากของชายหนุ่มทำทียั่วเย้าจะโน้มลงมาหา
“ท่าน ไม่ละอายข้าเลยรึ”
“จะให้สามีอายภรรยา เช่นนั้นแล้วจะมีทายาทสืบสกุลได้อย่างไรกัน จริงหรือไม่”
กรุณาล๊อคอินเพื่อรีวิว