สองร้อยปี... ใจหนึ่งดวงนี้ไม่เคยลืมเลือน ความรักและเจ็บปวด กลับกลายเป็นไฟร้อนเร่าแผดเผาหัวใจ
เจ้าของร่างบางเริ่มดิ้นน้อยๆ ใบหน้าละมุนสั่นส่ายไปมาบนหมอน ความอึดอัด ร้อนรุ่ม จากไฟสีน้ำเงินโอบล้อมรอบตัวเธอ มันร้อน... ทรมาน...เหมือนจะขาดใจ
“พริซซี่...”
เสียงเรียกของใครบางคนดังแว่วเข้ามาในโสตประสาท เสียงห้าวแหบต่ำก้องสะท้อนอยู่รอบๆ พริมรสาอยากถามว่ากำลังเรียกใคร ชื่อนั้นไม่ใช่ชื่อเธอแต่ทำไมเธอถึงรู้สึกคุ้นเคยกับมันนัก...
“พริซซี่... ลืมตาสิ”
พริมรสาดิ้นรน ไฟสีน้ำเงินหายไป รอบๆ กายคือความมืดมิด เธอมองหา เหลียวซ้ายมองขวา เสียงนั่นมาจากที่ไหน
“ลืมตาสิ... พริซซี่คนดี...”
ความหนักอึ้งบนเปลือกตาคลายลง แพขนตาคู่กะพริบ ในความมืดสลัว หญิงสาวเดินตามเสียงเรียกนั้น ไม่ว่าเขากำลังเรียกใคร เผื่อมันจะมีทางออกให้เธอด้วย เธอกลัว กลัวไฟสีน้ำเงินนั่นเหลือเกิน
“ใคร...”
เงาร่างใครคนหนึ่งตะคุ่มดำชะโงกเงื้อมอยู่เหนือตัวเธอ พริมรสากะพริบตาเขม้นมอง แต่ไม่ว่าจะเพ่งขนาดไหนเธอก็ไม่อาจมองเห็นใบหน้าของคนผู้นั้นได้ สิ่งที่โดดเด่นเห็นชัดคือดวงตาสีฟ้ากระจ่างวาววาม จากรูปร่างที่เห็นบอกได้ว่าเขาเป็นผู้ชาย พริมรสาตกใจ จะยันตัวหนีแต่ตัวเธอหนักอึ้ง อยากกรีดร้องแต่ร้องไม่ออก ท่าทางทรมานทั้งกลัวทั้งตกใจของเธอกลับเรียกรอยยิ้มบนเรียวปากได้รูปนั้น
“หนีทำไมล่ะพริซซี่”
“ฉัน...ไม่ใช่”
คราวนี้รอยยิ้มแต้มใบหน้าที่มองไม่เห็น เขาหัวเราะเบาๆ ตาสีฟ้าวาววามมากขึ้น เขากำลังหัวเราะเยาะหลอกล่อล้อเธอเล่นหรือยังไง พริมรสามองแล้วคิดอย่างฉุนๆ
“ฉันไม่ใช่พริซซี่” เพราะรอยยิ้มนั้นคลายความตื่นกลัวของเธอลง
“ไม่ก็ไม่”
เจ้าของร่างใหญ่ยอมรับง่ายๆ ตาสีฟ้ากระจ่างคู่นั้นกลับเหมือนมีมนตร์ตรึงร่างบางให้นอนนิ่งอยู่ที่เดิม แม้ยามที่เขาโน้มตัวลงมาใกล้ เงาทาบลงทำให้พริมรสามองไม่เห็นอะไรนอกจากความดำมืดก่อนจะสะดุ้งเฮือก
“จะ...ทำอะไร อย่า...”
“ทำ... อย่างที่เราเคยทำ”
เสียงนั้นบอกเรียบๆ ไม่เร่งร้อนแต่นิ้วแข็งแกร่งกลับพร่างพรมปลายนิ้วลงบนเรือนกาย มันทั้งชวนผวาและซ่านสยิวแปลกๆ
กรุณาล๊อคอินเพื่อรีวิว