จอมใจเจ้ายุทธ (ซีรี่ส์สามเสน่หา)
รักโรแมนติก
จอมใจเจ้ายุทธ (ซีรี่ส์สามเสน่หา)
รักโรแมนติก
Hongsamut
นางคือโฉมงามหน้านิ่งแห่งบ้านตระกูลโหลว ด้วยเป็นคนมีโลกส่วนตัวสูงผู้คนภายนอกจึงร่ำลือกันว่าธิดาของท่านอัครเสนาบดีโหลว ทั้งหยิ่งทะนงทั้งยากที่จะเข้าถึง และนางก็ชอบที่ถูกเข้าใจผิดเช่นนี้ แต่แล้วหน้ากากยิ้มยากของนางก็ถูกฉีกขาดจนได้! จิ้นเหยี่ยนเหินคือบุรุษขวัญกล้าผู้นั้น เขาเป็นมือปราบจอมกะล่อนประจำตำบลเล็ก ๆ แห่งหนึ่ง ทั้งขี้เกียจ อู้งาน เหลาะแหละและเจ้าชู้ การเดินทางเพื่อเสาะหาของวิเศษของโหลวเฉิน ใยต้องมาเจอคนเช่นนี้ด้วย! ถ้าต้องเดินทางเงียบ ๆ เอาตัวรอดเพียงลำพังนั้นมิใช่เรื่องยาก แต่มือปราบที่มาพร้อมกับฝูงชน ปัญหาและความลับของใครต่อใคร ทำให้นางปวดหัวจนเกือบจะถอดใจ สาวโลกส่วนตัวสูงเช่นนาง ถูกบีบให้ต้องร่วมมือสืบคดีกับหนุ่มช่างแหย่เช่นเขา อืม...ทำอย่างไรถึงจะรักษาหน้านิ่ง ๆ ไม่ให้ยิ้มออกมาได้ล่ะเนี่ย!
  • 14 ตอน
  • 86
นิยายโดย
  • 2,194 คนติดตาม
  • Tag
  • #
บทนำ

จอมใจเจ้ายุทธ์ (ปกอ่อน สามเล่มจบ)

เป็นหนึ่งในซีรีส์ ชุด ซีรีส์สามเสน่หา

(ภาคต่อรุ่นลูกชุดที่สองของชุดโฉมงามบรรณาการ)


บทนำ



ฉงเยว่ แคว้นใหญ่อันดับหนึ่งที่ทั่วทั้งหกแคว้นต่างให้การยอมรับ

ยามนี้ใต้หล้าสงบ ไพร่ฟ้าอยู่ดีมีสุข ไม่มีเรื่องวีรบุรุษผู้กล้าใดๆ ให้กล่าวถึง ส่วนเรื่องรักใคร่ระหว่างสาวงามและชายหนุ่ม เมื่อฟังมากเกินไปก็ไม่น่าสนใจ ถึงกระนั้นการค้าในโรงน้ำชาก็ยังเนืองแน่นไปด้วยผู้คน สาเหตุมาจากเรื่องเล่าเรื่องหนึ่งที่แม้จะเล่าขานกันมานานถึงสิบหกปีแล้ว ก็ยังคงฟังได้ไม่รู้เบื่อ

นั่นคือเรื่องของคุณหนูทั้งสามแห่งแคว้นฉงเยว่

คนแรกคือคุณหนูซู่ซู่ แก้วตาดวงใจของจวนแม่ทัพซู่ บิดาของนางดำรงตำแหน่งแม่ทัพกำราบแคว้น อีกทั้งนางยังเป็นสตรีเพียงหนึ่งเดียวที่ถือกำเนิดมาในรอบร้อยปีของบ้านสกุลซู่

คนที่สองคือคุณหนูโหลวเฉิน หนึ่งในแฝดแห่งจวนอัครเสนาบดี ไข่มุกเม็ดงามของท่านอัครเสนาบดีโหลว

และคนสุดท้ายคงหนีไม่พ้นองค์หญิงเยี่ยนหนิง ที่แม้จะมิได้เติบโตอยู่ในวังหลวง แต่กลับเป็นที่โปรดปรานของฮ่องเต้แห่งฉงเยว่อย่างที่สุด

คุณหนูทั้งสามต่างมีผู้สนับสนุนของตนเองนับตั้งแต่วันที่ถือกำเนิด สายตาทุกคู่ของผู้คนในเมืองหลวงจับจ้องอยู่ที่พวกนาง

แต่จะโทษชาวเมืองก็คงมิได้ ในอดีต... สามใบเถาแห่งตระกูลชิงก็มีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วหล้า แคว้นเฮ่าเยว่ส่งมอบพวกนางให้เป็นบรรณาการแก่แคว้นฉงเยว่ แม้จะมาด้วยสถานะต่ำต้อยทว่าพวกนางก็สามารถพิชิตใจสามบุรุษที่เปี่ยมทั้งอำนาจและบารมีได้

หลายปีมานี้ชิงหลิง ฮูหยินของอัครเสนาบดีโหลวได้ช่วยเหลือกรมอาญาชันสูตรพลิกศพ ไขปริศนาจากคนตายไปไม่รู้ตั้งเท่าไร

ส่วนชิงโม่ ฮูหยินแห่งจวนแม่ทัพก็จัดตั้งหน่วยอินทรีเหิน ความสามารถของนางมิได้ไร้เทียมทานเพียงในทัพบ้านสกุลซู่เท่านั้น แม้แต่แม่ทัพนายกองของแคว้นอื่นเมื่อได้ยินชื่อต่างก็พากันเกรงกลัวอีกด้วย

สุดท้ายชิงเฟิง...พระสนมชิง ที่แม้จะมีตำแหน่งเป็นถึงพระสนมขั้นเฟย แต่กลับหลีกหนีจากวังหลวง ออกมาสร้างดินแดนสวรรค์ที่ไร้ซึ่งคนรบกวนอยู่นอกวัง ซ้ำยังได้เป็นศิษย์คนสุดท้ายของหมอเทวดาผู้เลื่องชื่อ

แต่ละนางมีเรื่องเล่าที่เต็มไปด้วยความอัศจรรย์เช่นนี้ แล้วผู้คนจะไม่นึกอยากรู้เกี่ยวกับบุตรีของพวกนางได้อย่างไร

บางทีอาจเป็นเพราะคุณหนูตระกูลชิงทั้งสามเบื่อหน่ายกับชื่อเสียงเกียรติยศจนเกิดเป็นความหนักใจ ไม่อยากให้บุตรสาวต้องเดินซ้ำรอยเดิมของพวกนาง จึงได้เก็บตัวบุตรสาวไว้เสียมิดชิด ห่างจากสายตาสอดรู้สอดเห็นของชาวเมือง

ทว่ามนุษย์เราก็เป็นเช่นนี้ สิ่งใดที่ยิ่งเก็บงำ สิ่งนั้นก็ยิ่งน่าสนใจ สิ่งใดที่ไม่เคยรู้ สิ่งนั้นก็ยิ่งมีความคาดหวัง

เรื่องใดที่เกี่ยวข้องกับคุณหนูทั้งสาม แม้จะมีมูลเพียงเล็กน้อย ก็จะถูกนำมาพูดเติมเสริมแต่ง ขยายความจากเดิมแล้วเล่าขานกันต่อไป เพราะจินตนาการของชาวบ้านนั้นไร้ขอบเขตอยู่แล้ว

ฮูหยินทั้งสามอาจจะนึกเสียใจที่ตนเคยปกปิดเรื่องของบุตรสาว จึงก่อให้เกิดผลสะท้อนในทางตรงข้ามเช่นนี้

ชาวเมืองล้วนสงสัยว่ายามนี้คุณหนูผู้ลึกลับทั้งสามกำลังทำสิ่งใดกันอยู่ พวกนางจะปักผ้า หรือจับผีเสื้อ หรือร่ายคำฉันท์กาพย์กลอน หรือกำลังบรรเลงดนตรี…


ภายในห้องที่ตกแต่งอย่างเรียบง่าย แต่มองเห็นความประณีตวิจิตรได้เป็นอย่างดี

ปรากฏร่างสตรีสามนางที่มีรูปโฉมโดดเด่นและบุคลิกแตกต่างกันกำลังรวมตัวกันอยู่ สตรีชุดขาวที่เป็นเจ้าของห้องก็คือคุณหนูซู่ คุณหนูหนึ่งเดียวของจวนแม่ทัพ ใบหน้าของนางสดใสเปล่งปลั่ง ดวงตาเป็นประกายแวววาว ทว่ากลับนอนพังพาบอย่างเกียจคร้านอยู่บนเตียงโดยมิได้ไยดีต่อภาพลักษณ์ของตน

สตรีในชุดสีเขียวนั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้ข้างเตียง สีหน้าของนางเรียบเฉย นั่งหลังตรงไว้สง่า บุคลิกเย่อหยิ่ง ทำให้ผู้ที่พบเห็นละเลยรูปโฉมอันงดงามของนางไปเกือบหมด ไม่มีใครคาดคิดว่าบุตรสาวของท่านอัครเสนาบดีโหลวผู้อบอุ่นอ่อนโยนนั้น จะมีนิสัยเย็นชาถึงเพียงนี้

ส่วนสตรีที่ยืนอยู่ข้างเตียงนอนมีบุคลิกแตกต่างจากคุณหนูโหลวเฉิน นางสวมอาภรณ์ตัวยาวสีแดงเข้ม ไฝเม็ดเล็กสีแดงประดุจทับทิมเม็ดงามปรากฏอยู่ที่หว่างคิ้ว ส่งเสริมให้ดูงามสง่าและเข้มแข็ง รอบตัวเปล่งรัศมีของผู้สูงศักดิ์ ในมือถือกล่องไม้สี่เหลี่ยมผืนผ้า ยื่นมาตรงหน้าซู่ซู่

มันคืออะไร?

ซู่ซู่รู้สึกประหลาดใจ รีบเปิดกล่องไม้ออกดู พบว่าเป็นแผนที่แคว้นฉงเยว่ที่ทำจากหนังวัวแผ่นหนึ่ง

แผนที่เป็นสิ่งที่ค่อนข้างหายาก สำหรับชาวบ้านทั่วไปถือเป็นของมีค่า แต่สำหรับคุณหนูใหญ่แห่งจวนแม่ทัพอย่างซู่ซู่แล้วมันไม่ดึงดูดใจแม้แต่น้อย เพราะที่บ้านสกุลซู่มีแผนที่สารพัดรูปแบบ ซู่ซู่วางแผนที่กลับเข้ากล่องอย่างไม่ใส่ใจ “โธ่...พี่หนิง ข้าเกิดมาในตระกูลทหาร ไม่เคยคิดผันตัวเองเป็นพ่อค้าเสียหน่อย จะเอาแผนที่ไปทำไมกัน?”

เยี่ยนหนิงหยิบแผนที่ออกมาคลี่วางบนโต๊ะ จ้องมองจุดหนึ่งบนแผนที่ด้วยสายตามุ่งมั่น “เราสามพี่น้องอุดอู้อยู่แต่เมืองหลวง พวกเจ้าไม่รู้สึกเบื่อเลยรึ?”

“เบื่อสิ” ดวงตากระจ่างใสของซู่ซู่ทอดมองไปยังแผนที่บนโต๊ะ แล้วมองไปทางเยี่ยนหนิง ก่อนที่จะตะกายตัวขึ้นนั่ง เอามือเท้าคาง “พี่หนิง... ท่านนึกเรื่องสนุกๆ ขึ้นมาได้บ้างแล้วใช่หรือไม่?”

เยี่ยนหนิงเงยหน้าขึ้น ยิ้มอย่างมีเลศนัยก่อนจะกล่าวตอบ “น้องๆ ของพี่... หากพี่ชวนเล่นเดิมพัน พวกเจ้าจะกล้าหรือไม่”

“เดิมพัน?”

“ปฐพีนี้กว้างใหญ่นัก ดูซิว่าใครจะใช้ความสามารถตัวเองค้นหาสุดยอดสมบัติที่มีค่าที่สุดมาได้ ข้าขอกำหนดระยะเวลาเอาไว้หนึ่งปี ในวันนี้ของปีหน้า เรามาเจอกันที่นี่ ในเรือนนอนของอาซู่ แล้วเอาของที่ได้มาประชันกันดูว่าใครจะเป็นผู้ชนะ”

“หนึ่งปี?... นานขนาดนั้นท่านแม่ไม่ตั้งค่าหัวนำจับข้าเอาไว้แล้วรึ นี่มันหนีออกจากบ้านชัดๆ เลย แม่ต้องเด็ดวิญญาณข้าแน่” ซู่ซู่เอ่ยปากออกไปเช่นนี้ แต่แววตากลับเก็บประกายตื่นเต้นไว้ไม่อยู่

“แล้วเจ้าจะเดิมพันหรือไม่เล่า?”

“ไม่พลาด!!!” ตอบสั้นๆ แสดงถึงนิสัยซุกซนของอาซู่ที่เกรงว่าใต้หล้านี้จะยังมีเรื่องวุ่นวายไม่พอ

เยี่ยนหนิงมองไปทางโหลวเฉินที่ยืนนิ่งเงียบอยู่ด้านข้าง โหลวเฉินปกติเป็นคนหน้าตาย พูดน้อย พื้นนิสัยเป็นคนมีความละเอียดรอบคอบ เยี่ยนหนิงเห็นอีกฝ่ายนิ่งจึงกังวล “เจ้าเล่า...เฉินเอ๋อ?”

โหลวเฉินกวาดตามองแผนที่บนโต๊ะ ปรายตามองเยี่ยนหนิงครั้งหนึ่ง ยกมุมปากขึ้นยิ้มเล็กน้อยอย่างที่ไม่ค่อยจะได้เห็นบ่อยนัก “ร่วมด้วย”


ยามดึกสงัดของฤดูใบไม้ร่วง อากาศเย็นสบาย สายลมพัดเอื่อยๆ แสงจันทร์สว่างนวลตา

ขณะนี้ใกล้เวลายามหนึ่ง เลยเวลาพักผ่อนไปนานแล้ว เรือนเล็กหลังหนึ่งในจวนอัครเสนาบดียังคงมีแสงเทียนอ่อนๆ ลอดผ่านกระดาษกรุหน้าต่างออกมา ร่างสูงร่างหนึ่งเอนตัวพิงขอบประตู ท่าทางมิได้คิดจะจากไปไหนและมิได้คิดจะเข้าไปรบกวนคนข้างใน

“เข้ามาเถิด”

น้ำเสียงไพเราะเรียบนิ่งของสตรีดังขึ้นเบาๆ จากภายในห้อง ผู้ที่ยืนพิงอยู่ข้างประตูมิได้รู้สึกประหลาดใจกับการถูกพบเห็น มิหนำซ้ำมุมปากยังยกขึ้นเผยรอยยิ้ม นิ้วเรียวยาวผลักประตูห้องเข้าไปอย่างเบามือ น้ำเสียงทุ้มต่ำรื่นหูของชายหนุ่มดังขึ้น “นึกว่าเจ้าจะไปโดยไม่สนใจจะอำลาข้าเสียแล้ว”

ภายในห้องจุดตะเกียงน้ำมันดวงเดียว แสงสว่างมีน้อยนิด ทว่าในความสลัวนั้นยังคงเห็นรูปร่างสูงโปร่งของสตรีเจ้าของห้องได้ชัดเจน นางกำลังเก็บเสื้อผ้าที่ใส่ประจำสองชุดลงในห่อผ้า พลางเอ่ยตอบ “หากเจ้ายังยืนอยู่นอกประตูจะเป็นที่สังเกตได้ง่าย จะเป็นอุปสรรคต่อข้ามากกว่า”

บุรุษหนุ่มผู้นี้มีใบหน้าหล่อเหลาคมคาย คิ้วดาบพาดเฉียง จมูกโด่งเป็นสัน ดวงตามิได้ดูหลุกหลิกแต่ฉายแววลุ่มลึก กอปรกับบุคลิกอ่อนโยน แม้จะยืนพิงร่างอยู่กับขอบประตูด้วยท่วงท่าสบายๆ ก็ยังเปล่งรัศมีแห่งความสูงศักดิ์กดดันอยู่รอบด้าน รอยยิ้มบนมุมปากของเขาดูแข็งทื่อไปหลายส่วน คล้ายเคยชินกับการพูดจาเช่นนี้ ผ่านไปครู่เดียวรอยยิ้มบนใบหน้าก็จางลงช้าๆ

ชายหนุ่มยกสองมือขึ้นกอดอก สีหน้าดูจริงจังขึ้นกว่าเดิม “เจ้าคิดจะออกไปสร้างความวุ่นวายเป็นเพื่อนพวกนางหรือ?”

โหลวเฉินผู้เป็นเจ้าของห้องและบุตรีของอัครเสนาบดีโหลวหันหน้ามาในที่สุด จ้องไปยังพี่ชายตนเอง แล้วกล่าวตอบเสียงเรียบเฉย “มิใช่ว่าพี่หนิงเพิ่งคิดจะหนีออกจากเมืองหลวง นางคิดมานานแล้ว แต่คราวนี้นางคงจะทนไม่ได้แล้วจริงๆ จึงได้หาข้ออ้าง พวกเราออกไปพร้อมกันสามคนก็เท่ากับเป็นการช่วยนางกลบเกลื่อนร่องรอย หากพี่เป็นห่วงนางจริงๆ ส่งคนไปคุ้มครองลับๆ ก็ได้”

“เป็นเพราะหนิงเอ๋อเช่นนั้นหรือ?” มุมปากของโหลวซียกขึ้นอีกครั้ง ดวงตาฉายแววรู้ทัน “ตัวเจ้าเองมิได้คิดจะออกไปเที่ยวเล่นเลยหรือ?”

โหลวเฉินเลิกคิ้วขึ้นเพียงเล็กน้อย หากเป็นผู้อื่นคงคิดว่าใบหน้านี้ไร้ความรู้สึกเช่นเดิม แต่ในสายตาของโหลวซี ใบหน้าของนางปรากฏคำว่า ‘แล้วจะทำไม?’ รวมอยู่ด้วย

โหลวซีส่ายหน้าเบาๆ พลางถอนหายใจ “พวกเจ้าคิดจะออกไปเที่ยวเล่นอย่างสบายใจ แล้วปล่อยให้ข้าเผชิญหน้ากับเรื่องวุ่นวายที่เหลือคนเดียวหรือ เสี่ยวเฉิน เจ้าทำกับข้าได้ลงคอเช่นนั้นรึ?”

ครั้นได้ยินอีกฝ่ายเอ่ยเรียก ‘เสี่ยวเฉิน’ โหลวเฉินก็หรี่ตาลงเล็กน้อย “ถ้าแน่จริง พี่ก็หนีออกจากบ้านไปด้วยสิ”

โหลวซีได้แต่กระแอมเบาๆ มิกล้าเอ่ยคำว่า ‘เสี่ยวเฉิน’ อีก เห็นโหลวเฉินยังคงเก็บสัมภาระต่ออย่างไม่อนาทรร้อนใจ ภายในใจก็รู้สึกหงุดหงิด จึงเอ่ยขึ้นอย่างขัดใจ “เจ้าไม่กลัวข้าจะแอบเอาเรื่องนี้ไปบอกใครรึ?”

โหลวเฉินวางห่อสัมภาระที่จัดเรียบร้อยแล้วลงบนโต๊ะ ดึงลิ้นชักเล็กข้างเตียงออก หยิบตั๋วแลกเงินขึ้นมาปึกใหญ่ก่อนจะยัดใส่ในถุงผ้าที่ผูกติดตัว แล้วหยิบเศษเงินยัดใส่ห่อสัมภาระ มิได้หันไปมองโหลวซีเลยสักนิด

ชายหนุ่มยังคงหงุดหงิดอยู่เช่นเดิมทว่าอับจนหนทาง ตัวเขาเองตามใจสามสาวสามแสบนี่มาแต่ไหนแต่ไร ย่อมไม่มีทางขัดขวางแผนการของพวกนางได้แน่ และหากจะคาบข่าวไปรายงาน ถึงคราวนี้จะขัดขวางเอาไว้ได้ แต่ถ้าพวกนางตั้งใจจะหนีจริงๆ ก็ไม่มีทางรั้งไว้

โหลวเฉินนำสิ่งของติดตัวไปน้อยจึงจัดเก็บไม่นาน พอโหลวซีหันไปมองน้องสาวอีกครั้ง นางก็เก็บสัมภาระเรียบร้อยแล้ว

ในมือของโหลวเฉินถือห่อผ้าเล็กๆ ห่อหนึ่ง นางสวมชุดกระโปรงยาวสีเขียวดูเรียบง่าย เส้นผมยาวสลวยเลยบั้นเอว มีเพียงปิ่นหยกสีขาวประดับเท่านั้น แสงจันทร์ส่องผ่านประตูใหญ่เข้ามาทาบทับบนเรือนร่าง เผยให้เห็นกระบี่อ่อนเล่มยาวสามฉื่อ ที่แม้แต่ยอดเซียนกระบี่ก็ยังไร้ความสามารถที่จะควบคุมมัน ขณะนี้กระบี่เล่มที่ว่าพันอยู่รอบเอวหญิงสาวอย่างแนบแน่น มองไปคล้ายผ้าคาดเอวสีขาวสว่างดูอ่อนนุ่ม เสริมให้ชุดสีเขียวยิ่งเปล่งประกายเย็นชาเหนือปุถุชนทั่วไป

โหลวซีมองน้องสาวสุดที่รักแล้วอดหงุดหงิดใจไม่ได้ สตรีอย่างเฉินเอ๋อไม่รู้จะล่อหมู่ภมรแบบใดให้มาพัวพันบ้าง แต่เขาคงไม่ต้องเป็นกังวลจนเกินไปนัก เพราะรู้ดีว่าน้องสาวของตนฉลาดปราดเปรื่องจนทำให้ผู้คนขนลุกขนชันได้เพียงใด แม้สีหน้าของนางจะไร้ความรู้สึก แต่ในใจนั้นละเอียดอ่อนยิ่งนัก หากใครคิดจะมาหาเรื่อง นับว่าเป็นการหาเรื่องลำบากใส่ตัวอย่างแท้จริง

เห็นน้องสาวยืนตัวตรงไว้สง่าอยู่ใต้แสงจันทร์ จิตใจของโหลวซีพลันรู้สึกคล้ายกำลังมองดูบุตรสาวที่เติบโตเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมา

ชายหนุ่มถอนหายใจยาว ขณะที่โหลวเฉินกำลังก้าวข้ามธรณีประตู เขาหลุดปากเอ่ยเตือนด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ “ระวังตัวให้ดี ถ้าเกิดเหตุสุดวิสัยเจ้าต้องรีบส่งจดหมายให้ข้า จำไว้ข้าเป็นพี่ของเจ้า”

มือที่กำลังผลักประตูของโหลวเฉินชะงักนิ่งไปเล็กน้อย ดวงหน้างดงามยังคงเฉยชาเฉกเช่นปกติ ทว่าปากกลับรับคำอย่างว่าง่าย “อืม”


ยามวิกาล เมืองหลวงถูกปกคลุมด้วยความเงียบสงัด

เงาสามสายวิ่งตรงไปยังกำแพงเมือง กระโจนตัวขึ้นบนกำแพงอย่างคล่องแคล่ว จากนั้นค่อยๆ กระโดดลงอีกฟากอย่างแผ่วเบา กำแพงเมืองที่สูงกว่าสามวา สำหรับพวกนางนับว่าเป็นด่านที่ผ่านไปได้ไม่ยาก เห็นได้ชัดว่าทั้งสามมีวรยุทธที่ไม่ธรรมดา

สตรีทั้งสามวิ่งออกมาไกลหลายลี้จึงหยุดฝีเท้า

“กำหนดหนึ่งปี” เยี่ยนหนิงทวนคำเดิม

“ย่อมได้” อาซู่ไหวไหล่ บนบ่ามีถุงผ้าใบหนึ่งพาดอยู่

“รักษาตัวด้วย” โหลวเฉินประสานมือบอกลาพี่น้อง

มีเพียงประโยคร่ำลาธรรมดาๆ ไม่กี่คำ จากนั้นทั้งสามก็หันหน้าไปคนละทิศ

ระหว่างที่เยี่ยนหนิงวิ่งมุ่งหน้าไปนั้น ในใจของนางกลับมีคำขอโทษมากมาย ‘เฉินเอ๋อ อาซู่ ขอโทษด้วย ข้าจำเป็นต้องไปที่นั่น ข้าจำใจต้องหลอกพวกเจ้าออกมา เพื่อเบี่ยงเบนความสนใจของครอบครัวให้กระจายกำลังออกเป็นสามสาย พวกเขาจะได้ไม่สามารถตามหาตัวข้าได้เร็วนัก อภัยด้วย อภัยให้ข้า’

เทียบกับความเร่งรีบของเยี่ยนหนิงแล้ว ซู่ซู่ดูเอื่อยเฉื่อยไปถนัดตา ในใจคิดแต่จะไปดูความงามของท้องทะเลกว้างใหญ่ จึงตัดสินใจมุ่งหน้าไปยังทะเลตงไห่ รอให้นางเที่ยวเล่นจนหนำใจก่อนเถิด แล้วค่อยไปเกาะรวมวิญญาณเยี่ยมท่านอาเอ้าเพื่อขอของวิเศษมาสักชิ้น สัญญาหนึ่งปีไม่แน่ว่านางอาจจะเป็นผู้ชนะก็เป็นได้

สายตาของโหลวเฉินนิ่งสงบ สีหน้าเรียบเฉย ฝีเท้าเนิบนาบ เมื่อครู่เยี่ยนหนิงไปทางทิศตะวันตก

เช่นนั้น... นางก็ไปไกลกว่าอีกสักหน่อยคงจะดี ไปเลี่ยวเยว่ดีหรือไม่?

สามสาว สามความคิด ไม่ว่าจะคิดอย่างไร การเดินทางของพวกนางก็ได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว

เรื่องนี้มีเวอร์ชั่น E-book
นิยายเรื่องอื่นของHongsamut